Cover Letter หรือจดหมายสมัครงาน จะช่วยสร้างความแตกต่างและทำให้ผู้สมัครงานโดดเด่นในสายตาบริษัทมากขึ้น เมื่อเทียบกับการส่งประวัติส่วนตัวโดยใช้ Resume เพียงอย่างเดียว ถ้าคุณอยากรู้ว่าต้องเขียน Cover Letter ยังไง ใส่ข้อมูลอะไรได้บ้าง วันนี้ JobThai ได้รวบรวมเทคนิคการเขียน Cover Letter ภาษาอังกฤษ พร้อมตัวอย่างหลายรูปแบบสำหรับอาชีพต่าง ๆ ให้คนที่กำลังเตรียมตัวสมัครงานนำไปปรับใช้กัน
Cover Letter เป็นพื้นที่ที่ให้เราได้อธิบายทักษะ ความสามารถ รวมไปถึงเป้าหมายในการทำงานให้องค์กรได้เข้าใจตัวตนของเราในฐานะคนทำงานมากขึ้น ไปดูกันว่า Cover Letter มีประโยชน์ยังไงบ้าง
- ใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้เต็มที่ เราสามารถเขียนเล่าเรื่องประสบการณ์การทำงาน ความสำเร็จ และเป้าหมายที่อยากทำในสายงาน โดยไม่ถูกจำกัดด้วยรูปแบบตายตัวเหมือนในResume อยากเล่าแบบเรียงลำดับเหตุการณ์ หรือ เล่าเฉพาะผลงานที่น่าสนใจก็เขียนตามสไตล์ที่เราถนัดได้อย่างเต็มที่
- ปรับเนื้อหาให้เข้ากับองค์กร เราสามารถพูดถึงสิ่งที่เราอยากทำเป็นพิเศษให้กับองค์กร หรือพูดถึงเหตุผลว่าทำไมบริษัทนี้ถึงดึงดูดให้เราอยากสมัครงาน เช่น เราอยากทำงานที่นี่เพราะความเชี่ยวชาญของบริษัท การระบุข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับองค์กรจะทำให้คนที่อ่านCover Letter ของเราเห็นถึงความใส่ใจในองค์กรของพวกเขา รู้ว่าเราเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี และทำให้การสมัครงานของเราแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น
- เน้นทักษะการทำงานที่ตรงกับสิ่งที่องค์กรต้องการ เขียนเน้นย้ำทักษะที่เรามีที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ซึ่งเราสามารถยกตัวอย่างประสบการณ์การทำงานที่เคยทำและประสบความสำเร็จมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการทำงานของตำแหน่งหรือสายงานนั้น ทักษะการบริหารทีม หรือแม้แต่ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรกำลังต้องการคนทักษะประเภทไหนบ้าง เราก็เขียนให้สอดคล้องกับประกาศรับสมัครงาน
- โชว์ทักษะการเขียน ไม่ว่าจะทำงานในตำแหน่งไหน ทักษะการเขียนก็เป็นเรื่องที่จำเป็น การเขียน Cover Letter คือโอกาสที่ดีในการแสดงความสามารถในการสื่อสารด้วยการเขียนของเรา ทั้งไวยากรณ์ การเรียบเรียงความคิด การเล่าเรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูลล้วนที่เรานำเสนอไปใน Cover Letter คือตัวอย่างของศักยภาพของเราที่ชวนให้คนที่ได้อ่านสนใจและพอเห็นภาพคร่าว ๆ ว่าเราใช่คนที่องค์กรกำลังตามหาอยู่ไหม
โดยสรุปแล้ว Cover Letter ที่ดีนอกจากจะช่วยให้คุณโดดเด่นในสายตาขององค์กรกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการถูกเรียกสัมภาษณ์ได้เป็นอย่างดี
Cover Letter ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1. เกริ่นนำ
พูดถึงความต้องการทำงานในตำแหน่งที่ต้องการสมัคร คุณสมบัติสั้น ๆ เพื่อเปิดประเด็นการสนทนา บางคนอาจเกริ่นด้วยอายุงาน บางคนอาจเล่าถึงทักษะ หรือรางวัลการันตีคุณภาพในการทำงาน อะไรที่เราคิดว่าน่าสนใจและทำให้คนอ่านอยากอ่านต่อ ก็ใส่ไว้ตั้งแต่ตอนต้นได้เลย
2. เนื้อหาหลัก
ขยายความเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานที่เคยทำมา บอกเล่าทักษะและความสามารถ และผลงานที่โดดเด่น รวมถึงประเด็นอื่น ๆ เช่น ความสนใจในบริษัทและเหตุผลว่าทำไมถึงอยากร่วมงานกับบริษัท ทักษะที่เรามีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทได้ยังไงบ้าง เราสามารถอ้างอิงตัวเลข สถิติ หรือตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานที่เป็นรูปธรรมเพิ่มเติมได้เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของตัวอย่างที่เรายกไป ยิ่งถ้าคนอ่าน Cover Letter เป็นหัวหน้างานในอนาคตของเราอยู่แล้ว เขาก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าเราเป็นคนทำงานตัวจริง
3. บทสรุป
ในส่วนสุดท้ายให้เน้นย้ำอีกครั้งว่าเรามีทักษะที่เป็นประโยชน์กับบริษัท มีเป้าหมายและความมุ่งมั่นในการทำงานขนาดไหน มีแผนการสำหรับอนาคตยังไงบ้าง แล้วปิดจบด้วยการกล่าวขอบคุณและรอการติดต่อกลับ
ตัวอย่างการเขียน Cover Letter รูปแบบต่าง ๆ
การเขียนเนื้อหา Cover Letter แบบนี้จะประกอบไปด้วยสองเรื่องสำคัญ คือ ประวัติการทำงานและทักษะที่โดดเด่นของเรา ในขณะเดียวกันก็ควรอธิบายเหตุผลเชื่อมโยงว่าทำไมถึงสนใจทำงานกับบริษัทนี้ เช่น บริษัทนี้มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ในอุตสาหกรรม หรือเราอยากพัฒนาทักษะและเติบโตไปพร้อม ๆ กับองค์กร ทั้งนี้การพูดถึงทั้งสองส่วนสำคัญจะทำให้ผู้อ่านเห็นทั้งความสามารถของเราและความกระตือรือร้นในการทำงานร่วมกับองค์กร
การเขียนสไตล์นี้เหมาะกับผู้สมัครที่อยากเปลี่ยนงานไปบริษัทใหม่ในสายงานเดิมที่ต้องการแสดงให้องค์กรเห็นทักษะหรือประสบการณ์ทำงานอย่างชัดเจน ทำให้หัวหน้างานในอนาคตหรือผู้ที่อ่าน Cover Letter เข้าใจได้ในทันทีว่าเรามีความชำนาญในงานที่ทำ มีผลการทำงานที่จับต้องได้ และตรงกับที่องค์กรต้องการ เพิ่มโอกาสที่จะถูกเรียกสัมภาษณ์เร็วขึ้น
การเขียนแบบนี้จะทำให้องค์กรรู้จักตัวตนของผู้สมัครมากขึ้น เราสามารถใส่ความสร้างสรรค์ในการเขียนว่าทำไมเราอยากทำงานตำแหน่งนี้ หรือมีเหตุผลอะไรที่ต้องการร่วมงานกับบริษัท ก็สามารถเขียนอธิบายให้ดูมีชีวิตชีวาและสร้างความโดดเด่นได้มากกว่าการเขียน Cover Letter ทั่วไป
เด็กจบใหม่มักจะกังวลว่าไม่มีประสบการณ์การทำงานให้เขียนถึงมากนัก เพราะฉะนั้นการเขียนCover Letter ประเภทนี้จึงต้องอธิบายให้ได้ว่าความรู้ที่เรียนมาจากมหาวิทยาลัยและประสบการณ์การฝึกงานในช่วงสั้น ๆ สามารถเป็นประโยชน์หรือเชื่อมโยงกับตำแหน่งงานที่กำลังสมัครได้ยังไงบ้าง
สำหรับคนที่ต้องการย้ายสายงาน แม้จะไม่มีประสบการณ์ตรงในสายงานที่จะสมัคร แต่เราสามารถอธิบายถึงเหตุผลในการเปลี่ยนสายงาน ความสนใจในงาน และทักษะที่เราสามารถประยุกต์ใช้กับตำแหน่งงานใหม่ได้
หวังว่าตัวอย่าง Cover Letter ภาษาอังกฤษที่ JobThai ได้นำเสนอไปจะทำให้คนทำงานเห็นถึงความสำคัญของการเขียนรายละเอียดเนื้อหาอย่างเหมาะสมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสมัครงานจริง ถ้าเรามั่นใจในเนื้อหาที่พูดถึงทักษะและประสบการณ์การทำงานแล้ว ในขั้นตอนสุดท้าย อย่าลืมตรวจสอบทั้งเรื่องไวยากรณ์ ตัวสะกด คำผิด และตำแหน่งงานหรือองค์กรให้ถูกต้อง เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและการใส่ใจรายละเอียด เพียงเท่านี้เราก็จะเป็นผู้สมัครที่โดดเด่นและเพิ่มโอกาสในการถูกเรียกสัมภาษณ์ได้มากขึ้น
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน
ที่มา:
capd.mit.edu, theguardian.com, novoresume.com, resume.co, resumegenius.com