Career Unlock EP.1: สายงาน Creative อาชีพที่เปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นเม็ดเงินมหาศาล

 

 

อาชีพครีเอทีฟ (Creative) คืออาชีพของคนที่มีทักษะในการคิดอย่างสร้างสรรค์เพื่อถ่ายทอดผลงานตามโจทย์ที่ได้รับออกมาเป็นสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความยาว ๆ ให้คนอ่านได้เพลิน ๆ ข้อความ Copy หรือคำโปรยเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า ไปจนถึงการเฟ้นหาไอเดียเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กลุ่มเป้าหมายประทับใจและจดจำสินค้าหรือบริการได้ อย่างที่เราได้เห็นกันบ่อย ๆ ในภาพยนตร์โฆษณาที่บางครั้งก็มีเอกลักษณ์ แปลกใหม่ หรือน่าสนใจจนเราตั้งคำถามว่า คิดได้ยังไง 

 

ใครที่กำลังสนใจว่าการทำงานจริงของงานครีเอทีฟ เขาทำกันยังไง วันนี้ JobThai จะพาไปเจาะลึกงานครีเอทีฟเอเจนซี่โฆษณาไปพร้อมกันกับคุณไผ่ ภาคย์ วรรณศิริ CCO ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Wunderman Thompson Thailand ผู้อยู่เบื้องหลังโฆษณาไอเดียสุดเจ๋งมากมาย

 

ถ้าคุณเคยสงสัยว่าครีเอทีฟต้องทำอะไรบ้าง ขั้นตอนการทำงานในเอเจนซี่โฆษณาเป็นยังไง แต่งตัวแฟชันไปสัมภาษณ์ได้ไหม ไปปลดล็อกข้อสงสัยกันเลย!

 

 

JobThai Mobile Application สมัครงานง่าย ได้งานเร็ว

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

เริ่มต้นกับอาชีพสายครีเอทีฟได้ยังไง ต้องเรียนอะไรมา 

เริ่มจากการเรียนม.ปลายปกติ คือเพื่อนเข้ามหาวิทยาลัยไปก่อน แล้วเราไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ตามมาทีหลัง คณะที่เราเรียนคือวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นเด็กที่ดูแปลก ๆ แต่งตัวแปลก ๆ ทำตัวแปลก ๆ เพื่อนก็บอกว่าถ้าคิดไม่เหมือนใครก็ควรอยู่คณะนี้แหละ เราก็เลยเริ่มกลับไปศึกษาว่าคณะวารสารศาสตร์หรือนิเทศศาสตร์เรียนอะไร มีสายงานอะไรบ้างและโฆษณาเมื่อก่อนก็เป็นหนึ่งในเอกหลักของคณะนิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์ครับ เมื่อก่อนตอนเอนทรานซ์คณะวารสารศาสตร์กับนิเทศศาสตร์คะแนนสูงมาก เราก็ไปตั้งใจเรียน แต่เรียนสายวิทย์มาแล้วอยู่ดี ๆ จะย้ายไปสายศิลป์ พ่อเราก็เป็นหมอ พ่อก็เคือง ก็บอกพ่อว่าลำดับที่ 2,3,4,5 เลือกให้พ่อหมดเลยนะ ขอเลือก 1 อันเดียวก็คือคณะที่อยากเรียน สุดท้ายแล้วพอเข้าไปก็ยังไม่รู้นะว่าอยากเรียนโฆษณารึเปล่า มันมีทั้งสาขาภาพยนตร์ สาขาสื่อสารมวลชน สาขาสิ่งพิมพ์ มีหลายสาขามากแล้วก็สาขาโฆษณา เพราะตอนแรกเรียนเป็นวิชาทั่วไปก่อน ธรรมศาสตร์จะปูความเป็ดในตัวคุณแล้วค่อยเลือกว่างานสายไหนที่เราชอบ

 

ทำไมถึงเลือกงานสายครีเอทีฟโฆษณา

เราชอบโฆษณา เวลาได้ดูโฆษณาแล้วได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนคนอื่น ชอบศึกษามนุษย์ดูว่าจะโน้มน้าวคนยังไง อยากจะบิ๊วคนให้ทำอะไรสักอย่าง ข้อดีคือเราค่อนข้างชัดเจนเวลาเลือกแล้วก็ฝึกงานเลย บางคนอยู่จน 4 ปีเขาก็ไม่รู้ว่าเขาอยากเรียนสายไหน แต่เราโชคดีที่รู้เลย บางทีการลองสิ่งต่าง ๆ มันก็ดีที่จะทำให้ได้รู้ว่าสิ่งที่ลองมันเป็นแบบนี้ แล้วบางทีเราอาจจะเจอสิ่งที่ชอบมากกว่า

 

พอเรียนจบแล้วมาทำงานเป็นครีเอทีฟเลยไหม 

เป็นครีเอทีฟเลยครับ รู้ว่าตัวเองอยากเป็นครีเอทีฟ แล้วก็ฝึกงานครีเอทีฟ ตระเวนหาว่าใครเก่งก็จะไปฝึกงานกับคนนั้น ครีเอทีฟก็จะแบ่งสายเป็น Copywriter และ Art Director พอโตมาก็ต้องดูหมดแต่เราเลือกเป็น Art Director ซึ่งเป็นความยากตรงที่การเป็นเด็กที่เรียนวารสารหรือนิเทศศาสตร์ที่ไม่ได้เรียนด้าน Art โดยตรงจะเป็นค่อนข้างยากกว่าเด็กที่เรียนทางด้าน Art มา เขาจะเข้าใจเรื่อง Art ได้ดีกว่า แต่ว่าพอเป็นเด็กวารสารศาสตร์หรือนิเทศศาสตร์จะเป็ด ๆ นิดนึง รู้ทุกอย่างแบบผิว ๆ แต่จะลงลึกได้ไม่เท่าเขา ก็จะต้องมาฝึกฝน ใช้เวลามากในการทำให้วิธีการทำ Art ของเรามันสื่อสารได้ดีที่สุด ซึ่งคนเป็น Art Director ก็ต้องวาดภาพได้ครับ เมื่อก่อนก็ต้องวาดภาพร่างสตอรี่บอร์ดหรือ Print Ads

 

งานครีเอทีฟแบ่งสายเป็นอะไรบ้าง

เทียบง่าย ๆ ข้างบนสุดคือครีเอทีฟ แยกสายออกมา แต่ว่าสุดท้ายบนหัวคุณคือการกลับไปตอบโจทย์บรีฟของลูกค้าให้ได้ ครีเอทีฟมีหน้าที่หาวิธีการสื่อสารทุกรูปแบบเพื่อแก้ปัญหาให้กับลูกค้า สินค้า การตลาด ผู้คน เราว่าอันนั้นคือหัวใจหลัก ๆ ของการเป็นครีเอทีฟ เราจะสื่อสารข้อมูลหรือโน้มน้าวยังไงให้เขามาสนใจหรือไปในทิศทางที่อยากจะไป

 

เล่าให้ฟังหน่อยว่าขั้นตอนในการทำงานทั้งหมดของเอเจนซีเป็นยังไง มีตำแหน่งอะไรบ้าง

สำหรับเราจริง ๆ การทำเอเจนซีโฆษณาคือการหาวิธีแก้ปัญหา ลูกค้าจะมาด้วยปัญหาเสมอ ถ้าเขาไม่มีปัญหาเขาไม่มาหาเราหรอก ถ้าเขาไม่มีปัญหาเขาก็หลับสนิทสบาย แต่ว่าถ้าเขามีสิ่งที่มันทำให้เขาตื่นตอนกลางคืน เขาก็จะมาแล้ว สินค้าเขาไม่เป็นที่รู้จัก เขาจะออก Product ใหม่ สินค้าเขาขายไม่ดี มีคู่แข่งมาตีตลาด เขาอยากทำ E-Commerce อยากขายของออนไลน์ให้ได้ อยากทำอีเวนต์ โจทย์มีเป็นร้อยเป็นพันอย่างว่าเขาอยากจะทำอะไร เราต้องกลับไปดูว่าปัญหาที่แท้จริงของธุรกิจเขาคืออะไร ครีเอทีฟเนี่ยเรียกว่าเป็นหัวใจ ไอเดียคือสิ่งที่มีมูลค่าที่สุดในธุรกิจนี้

 

ตำแหน่งหลัก ๆ ก็จะมี Account Service คือคนที่รับบรีฟจากลูกค้า นำพาปัญหาแบกใส่เสลี่ยงมาแล้ว พอเอาปัญหาเข้าบ้านปุ๊บ AE, Strategic Planner และ Creative สามคนนี้ก็จะวิ่งไปหาลูกค้า เพื่อดูว่าปัญหาเขาคืออะไร ปัญหาทางธุรกิจ เอาข้อมูลมาดูแล้วนั่งถกกับเขา AE ก็จะพยายามย่อยปัญหาให้ Planner แล้ว Planner ก็ทำปัญหาให้กลายเป็นบรีฟ ลูกค้าจะมี Client Brief ก็เอามาทำเป็น Creative Brief มันก็จะถูกใส่ในตารางของความเป็นโฆษณามากขึ้น ว่ากลุ่มเป้าหมายคือคนนี้นะ ไปหา Data มา Support กลุ่มเป้าหมายที่เราอยากจะคุยด้วย ลูกค้าอยากคุยกับ Mass แต่ไม่มีใครคุยกับ Mass ได้ คุณต้องคุยกับใครเพื่อให้เกิดยอดขาย

 

เขาก็จะระบุกลุ่มเป้าหมาย แล้วเป้าหมายนี้อยู่ที่ไหน อยู่ใน Social Platform ไหน ไม่เล่น Social Platform เลย ยังดูทีวีอยู่เลย หรือเป็นคนเล่น TikTok อย่างเดียวเลย Twitter อย่างเดียวเลย เราก็จะต้องระบุให้ได้ คนยิ่งชัดเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจเขามากขึ้น แล้วก็จะรู้ว่าจะดีไซน์การสื่อสารที่จะไปโน้มน้าวเขาได้ยังไงมากขึ้น

 

ครีเอทีฟมันคือการเอาบรีฟมาหาวิธีว่าเราจะแก้ปัญหานี้ด้วยท่าแบบไหน ทำหนังเหรอ กระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าหรือบริการเหรอ ทำ Brand Experience ทำ E-Commerce ทำแค่ส่งจดหมายไปไหม แค่ส่งข้อความไปไหม หรือแค่อะไร เราก็จะมาหาทางออกวิธีแก้ปัญหาให้กับลูกค้า

 

ครีเอทีฟมีกระบวนการคิดงานยังไงบ้างเมื่อได้รับโจทย์มาแล้ว

แล้วแต่คนว่าจะมีวิธีการทำงานแบบไหน อย่างเราจะใช้วิธีคิดแบบ Strategic Thinking ก่อน ด้วยความที่โตมากับการเป็นเป็ดประมาณนึง เรียนวารสารศาสตร์มาเรารู้ทุกอย่าง ก็จะเริ่มทำงานด้วยความเชื่อที่ว่ากลยุทธ์ที่ดียิ่งทำให้งานครีเอทีฟมันยิ่งดีมากขึ้น เพราะฉะนั้นจะใช้เวลาในการมั่วสุมกับ Planner เยอะมาก ซักถาม ให้เขาไปหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือมี Gut Feeling ตรงไหน ก็อยากจะหาให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะพูด และใครคือคนที่เราจะคุยด้วย 

 

ก่อนที่จะมาคิดงานครีเอทีฟ มันต้องเริ่มต้นจากการสร้างบรีฟที่ดีก่อน จะทำยังไงให้การสื่อสารมันง่ายในโลกที่มันวุ่นวาย งานควรจะ Simple ย่อยง่าย เข้าใจง่าย และ Original ทำงานที่มันไม่เคยมีมาก่อนในโลก และทำให้คนว้าว งานครีเอทีฟมันสำคัญก็ต่อเมื่อคุณทำให้คนรู้สึกว่าคิดได้ไง นอกจาก Simple และ Original แล้ว ข้อสุดท้ายที่ใช้บ่อยคือ Relevant หรือความเกี่ยวข้อง สิ่งที่สื่อสารออกไปต่อให้มันฉลาดแค่ไหน Original แค่ไหน มันก็จะสื่อไม่ถึงผู้คนเลยถ้าเกิดมันไม่เกี่ยวกับเขาหรือเป็นเรื่องที่เขาอยากได้ยินตอนนั้น Relevant มันไม่ใช่แค่ในบริบทของคนที่อยากคุยด้วย มันคือสังคม ตอนนี้สังคมกำลังสนใจอยู่กับเรื่องนี้แต่เราไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขาเลย มันก็จะสวนทางกันไปทันทีครับ แล้วเขาก็จะไม่ได้ยินสิ่งนั้นเลย

 

มีคิดงานไม่ออกบ้างไหม ทำยังไงถ้าคิดงานไม่ออก 

เป็นคำถามคลาสสิกของครีเอทีฟ ก็คิดไม่ออกบ่อยครับ โดยส่วนตัวจะใช้วิธีหยุดคิดทุกอย่างเลย แล้วอ่านมันให้เต็มที่ อ่านข้อมูลทุกอย่างจนจะอ้วก แล้วคิดไม่ออกก็ไปทำอย่างอื่นเลยครับ ไปดูซีรีส์ House of the Dragon ไปอ่านหนังสือ ไปทำนู่นทำนี่ เทรนตัวเองให้หยุดคิดเพื่อจะคิด เราถูกสอนมาแบบนั้น เป็นคำสอนของพ่อให้หยุดคิดอะไรสักอย่าง แล้วก็จะเริ่มมีสมาธิ นิ่งขึ้น แล้วจิตใต้สำนึกก็จะเริ่มทำงานมากขึ้น ทีนี้มันก็จะปิ๊งขึ้นมาได้ มันจะมีจุดที่คิดได้

 

อีกอย่างถ้าคิดไม่ออกจริง ๆ เราจะเชื่อในระบบ จะเชื่อในลูกน้อง เชื่อใน Planner เชื่อในหัวหน้า ถ้าเมื่อก่อนมีหัวหน้า เขาต้องมีอะไรมาให้เกาะบ้างแหละ แล้วบางทีเรา Input ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียเสมอไป แต่จะเป็นจุดที่ทำให้มันแหลมขึ้น ทำให้มันดีขึ้น เพราะฉะนั้นครีเอทีฟไม่ใช่งานเดี่ยว คิดไม่ออกไม่ได้ตาย มันก็แล้วแต่ว่าระบบของแต่ละทีมเป็นแบบไหน เราไม่เชื่อใน Superstar แต่เชื่อในระบบ ไอเดียดี ๆ อาจจะมาจาก AE ก็ได้ อาจจะมาจาก Planner ก็ได้ เพียงแต่ว่าฟังแล้วจับมันทันไหม

 

กว่าจะเป็น CCO ผ่านอะไรมาบ้าง 

ไม่ค่อยอยากให้เอาตำแหน่งมาเป็นเป้าหมายหลัก จริง ๆ แค่อยากเป็นครีเอทีฟที่คิดงานได้ดี ทำงานที่สามารถท้าทายบรรทัดฐานของวงการนี้ได้ พาวงการโฆษณาไทยไปสู้กับวงการโฆษณาโลกได้ เราแค่โชคดีมั้งที่อยู่ในที่ที่ทุกคนเห็น มีความเชื่อแบบเดียวกัน ก็เลยได้มาอยู่ตำแหน่งนี้อย่างรวดเร็ว สมมติว่าอยู่ที่อื่นเขาอาจจะไม่เชื่อ คุณจะทำได้เหรอ แต่งตัวแบบนี้ไม่ได้นะ เขาก็อาจจะคิดแบบนั้นได้ แต่ว่าเราอยู่ในที่ที่มัน Support แล้วก็พยายามทำสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน พาตัวเองหมุนไปอยู่ในที่ที่เขาให้คุณค่าในสิ่งที่เราทำและสิ่งที่เรารัก

 

ครีเอทีฟเป็นอาชีพเท่ ๆ จริงไหม ได้ทำงานจริงแล้วเป็นยังไง

สมัยเด็กเราว่ามันเท่จริง ๆ แต่งตัวแบบเท่ ๆ พรีเซนต์แบบคม ๆ แล้วก็ไปแบบคนคูล ๆ อะไรแบบนี้ แต่ว่าข้อดีของการได้เป็นครีเอทีฟคือการได้เอาสิ่งที่ตัวเองชอบทำเป็นอาชีพได้ ความคิดของเรามันคือมูลค่าที่ดีที่สุด สิ่งที่เสพมาเปลี่ยนเป็นแคมเปญมูลค่า 100 ล้านบาทได้ ความคิดอะไรที่ลอยอยู่ในอากาศจากหนังเรื่องนึงที่ดูมาแล้วก็จับมาชนกับบรีฟแล้วก็กลายเป็นแคมเปญ 100 ล้าน มูลค่าหลักของพวกเรามันคือความคิดสร้างสรรค์จริง ๆ อันนั้นแหละที่รู้สึกว่ามันยังดูเท่อยู่ที่แบบเขาคิดได้ยังไง ความเท่มันก็จะมาในแนว ๆ ที่ความคิดแปลก ๆ ของคุณมันตอบโจทย์ทาง Business ได้รึเปล่า คนก็จะ เห็นคุณค่าของอาชีพนี้ มันก็จะย้อนกลับมาที่ เราอยากทำโฆษณาแค่ขายของ หรืออยากทำโฆษณาเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนไปในทางที่ดีขึ้น สร้างให้เขามีทัศนคติหรือการรับรู้ที่ดีขึ้น อันนี้ก็จะเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่มันซ้อนทับอยู่กับการขายของให้กับลูกค้า

 

อยากเป็นครีเอทีฟ ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

ฝึกงานครับ แล้วก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่ตัวเองอยากเป็นก่อน ถ้าอยากเป็นครีเอทีฟโฆษณาก็ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในเอเจนซี่โฆษณา เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในคำว่าโฆษณาให้เยอะขึ้น แล้วจะเริ่มเห็นว่ามันมีที่ส่งประกวด มีเอเจนซี่ไหนบ้าง เราชอบงานเอเจนซี่นี้จังเลย ออกมาทุกครั้งงานมันเปรี้ยวจังเลย ก็ควรจะไปอยู่ที่นั่น มาด้วยความหลงใหลในสิ่งที่อยากทำครับ ว่าเราชอบที่นี่เพราะงานนี้  พวกคุณมีความคิดแบบนี้ เชื่อว่าครีเอทีฟชอบคนที่มีความชอบแบบเดียวกัน แล้วก็จะรับคนแบบนั้นนะ เวลารับเด็กฝึกงานมาแล้วถ้าเกิดเขารู้สึกว่าเขาชอบงานพวกเรามาก อธิบายได้เป็นฉาก ๆ มาด้วยความชอบงานครีเอทีฟ มาด้วยความชอบ Business ตั้งต้นจากความชอบก่อน แล้วก็เมื่อคุณชอบอะไรคุณจะขวนขวาย คุณจะพัฒนาตัวเองมากขึ้น นี่คือจุดเริ่มต้นของนักศึกษาปี 3-4 ที่อยากจะเริ่มฝึกงาน อะไรอย่างนี้ครับ

 

หางานครีเอทีฟและงานสายโฆษณาทั้งหมดได้ ที่นี่

 

ควรเลือกเป็นครีเอเทีฟสายไหนดี

ก่อนอื่นต้องถามตัวเองว่าชอบเป็นครีเอทีฟรึเปล่า ชอบคิดรึเปล่า ชอบดูโฆษณารึเปล่า เข้าใจรึเปล่าว่าโฆษณามันต้องการจะพูดอะไร ต้องการจะขายอะไร เอามาแค่ทางคิดก่อนก็ได้ จะเป็น Copywriter หรือ Art Director มันมาแยกกันได้อีกที เพราะว่า มือก็มี เขียนก็ได้ วาดรูปก็พอวาดกันได้แหละ หัวกลม ๆ ก็เป็น Art Director มีตั้งเยอะตั้งแยะ เราว่ามาด้วยชอบคิดก่อน ชอบโน้มน้าว ชอบบิ๊ว คนชอบบิ๊วเนี่ยเป็นนักโฆษณาที่ดี

 

แต่โฆษณามันจะไม่ได้เป็นตัวของตัวเองขนาดนั้น มันคือศาสตร์ของความไม่เป็นตัวของตัวเอง เราจะอยู่บนการเปลี่ยนหมวกตลอดเวลา ถ้าเป็นคนชอบความ Variety ของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา นั่นแหละ คุณคือคนโฆษณา แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณเก่งแบบเดียว อยากรีวิวก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างเดียว ลองไปเปิดเพจ หรือไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่ได้อยากรีวิวก๋วยเตี๋ยวไปตลอดชีวิต อยากรีวิวอย่างอื่นด้วย ไม่แน่ คนโฆษณาคือคนที่มี Skill ในการเอา Creativity ไปจับได้กับทุก ๆ โจทย์ 

 

คนทำงานครีเอทีฟต้องมีทักษะอะไรบ้าง

บ้านเราคือไอเดียนำครับ เราว่า Hard Skill คือพวก Craft จริง ๆ แล้ว Craft บนสายงานมันจะมีตัวช่วยเยอะ มันจะมีห้อง Art มันจะมี Production House มี Retoucher House อะไรอย่างอย่างนี้ ครีเอทีฟคือคนที่สามารถทำความคิดให้ออกมาเป็นภาพและมีความสามารถมากพอที่จะขายงานนั้นให้มันได้ทำได้จริงมากขึ้น จุดเริ่มต้นของมันคือ เป็นคนชอบคิดรึเปล่า

 

แนะนำเทคนิคทำพอร์ตฟอลิโอและเรซูเม่ให้คนที่สนใจหน่อย

อาชีพนี้ก็จะดูพอร์ตฯ กันบ้างเนอะ พอร์ตโฟลิโอและเรซูเม่ก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญ เรซูเม่ของโฆษณาก็ควรจะมีความสร้างสรรค์นิดนึง ไม่ได้มาเป็นกราฟแท่ง หรือแบบกราฟเกม Winning หรือ Fifa ที่แบบพลังบาน ๆ มาแล้วไม่รู้ว่าบาน ๆ เท่าไหร่จนกว่าจะลองเล่น ลองเขียนมาแบบจริง ๆ จะโชว์ทักษะการเขียนมาเป็นหนังสือ ทำมาเป็นรูปภาพ หรือคุณจะทำอะไรมาก็ได้ เราว่ามันคือแก่นของการนำเสนองานให้ดึงดูด ทำให้พวกเราสนใจและอยากรู้จัก แล้วก็พอร์ตโฟลิโอหรืองานที่คุณเคยผ่านการประกวด หรือการทำมามันทำให้เห็นว่าสิ่งที่คุณคิดมันถูกทำให้เกิดขึ้นได้จริง เสน่ห์ของพอร์ตโฟลิโอคือการดึงจุดแข็งของตัวเองออกมา ถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า “เราเจ๋งตรงไหน?” แล้วบิ๊วมันออกมาให้เป็นพอร์ตฯ ที่ถึงไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้คุยกันมันก็โดดเด่นขึ้นมา 

 

คนย้ายสายงานเป็นครีเอทีฟได้ไหม ใช้เกณฑ์เดียวกันกับคนที่จบตรงสายมารึเปล่า

ใช่ครับ ถ้าข้ามสายมาเราชอบด้วยนะ เพราะในทีมบ้านเราจะมีความหลากหลายของผู้คนมาก ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเพศนะ ความคิด ความชอบ และ Skillset เราชอบความหลากหลายมาก เพียงแต่ว่าคุณต้องโชว์ความหลงใหลบนโฆษณาอยู่ดี ให้ Input กับมัน ทำกับมัน ทำให้มันดีขึ้น ลองไปทำงานโฆษณาขึ้นมาจากโจทย์สักชิ้นนึง เช่นกำหนดโจทย์อะไรก็ได้ สมมติ Netflix จะเปิดตัวหนังเรื่องนี้ ฉันจะเปิดตัวยังไง หรือสินค้านี้จะขายยาสีฟันที่ช่วยกระตุ้นการหายไปของฟันคุดเราก็ทำ ก็คิดมา เรารู้สึกว่าคุณต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าทำไมคุณอยากย้ายมาตรงนี้ เพราะฉะนั้นมันไม่สำคัญเลยว่าคุณย้ายสายหรือไม่ย้าย ย้ายสายดีเสียอีก คุณมีทักษะที่แตกต่างที่หยิบจับเอามาใช้งานได้ เราก็สนับสนุนให้การย้ายสายมันเกิดขึ้นได้นะ และก็เชื่อว่าถ้ามีความหลงใหลมากพอ มันจะดี

 

ถ้าจะสมัครงานครีเอทีฟแต่งตัวเป็นตัวเองเต็มที่เลยได้ไหม หรือต้องแต่งตัวยังไงไปสัมภาษณ์งาน 

ตราบใดที่มันสะท้อนความเป็นตัวตนของคุณ เราว่ามันไม่ผิด แต่ถ้าแต่งตัวจัดแล้วงานไม่มีอะไร คุณก็ไม่ได้งาน เราว่าสุดท้ายพอร์ตฯ คุณแหละจะเป็นตัวบอกว่าการแต่งตัวของคุณโอเคหรือไม่โอเค

 

ทิ้งท้ายด้วยเคล็ดลับการสัมภาษณ์ ต้องเตรียมตอบคำถามแนวไหนบ้าง

หลาย ๆ ครั้งเราก็จะสัมภาษณ์ว่าทำไมถึงมาทำงานนี้ อยากจะให้เล่าว่าชอบโฆษณาเพราะอะไร อยากเช็กเรื่องของความหลงใหล เรื่องของ Passion กับอีกอย่างที่มักจะถามคือ ทำไมคุณถึงเลือกมาสัมภาษณ์ที่นี่ และใช้เวลากับสิ่งนี้เยอะมากว่าคุณทำการบ้านกับสิ่งที่คุณจะมาลงเรือลำนี้มากแค่ไหน เพราะว่าถ้ายิ่งบนโฆษณา งานแต่ละบ้านมัน Approach หลากหลายรูปแบบ คุณศึกษามารึยังว่าในวงการนี้ ทำไมคุณถึงเลือกมาเอเจนซี่นี้ เอเจนซี่นี้มัน Approach บรีฟแบบไหน และทำไมคุณถึงชอบ มันสะท้อนตัวตนของคุณยังไง เราจะถามสิ่งนั้นเยอะ แล้วก็จะเช็กความมุ้งมิ้ง เช็กเรื่องของความชอบส่วนตัว ดูหนังอะไร แฟชันอะไร เพราะว่ามันก็เป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์ เรื่องของเคมี ถ้ามาแบบเศร้า ๆ เบลอ ๆ มาแบบไปสมัครมา 5 ที่แล้ว แล้วก็มาที่นี่เป็นที่ที่ 6 พี่ หวังว่าพี่จะรับผมเข้าทำงานนะ เราจะรู้สึกได้

 

จะเห็นได้ว่าการทำงาน Creative นั้นไม่ใช่คิดแค่จะสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาสนุกหรือแปลกใหม่อย่างเดียว แต่ต้องตีโจทย์ให้แตกว่าต้องสื่อสารใจความสำคัญอะไรออกไป สื่อสารด้วยวิธีการไหนถึงจะการสร้างความแตกต่างและสะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้ดีที่สุดด้วย งาน Creative จึงถือเป็นอีกสายงานหนึ่งที่สำคัญและสร้างความได้เปรียบในเชิงธุรกิจได้เป็นอย่างดี

หางานใหม่ที่ใช่ ได้เป็นตัวของคุณเอง ที่ JobThai สมัครสมาชิกและฝากประวัติที่นี่เลย

 

JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน

tags : jobthai, งาน, หางาน, สมัครงาน, career unlock, ทำงาน, career & tips, ทักษะการทำงาน, คนทำงาน, เคล็ดลับการทำงาน, การทำงาน, ทักษะ, โลกการทำงาน, creative, งานครีเอทีฟ, ครีเอทีฟโฆษณา



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม