JobThai Mobile Application หางานง่าน สมัครงานง่าย ได้งานที่ใช่
|
|
หลายคนคงเคยผ่านหูกับคำว่า “วีแกน (Vegan)” มาบ้างแล้ว ซึ่งถ้าพูดง่าย ๆ วีแกน (Vegan) ก็เปรียบเหมือนการกินเจที่เรารู้จักกันนี่แหละ ไม่บริโภคอาหารที่ทำมาจากสัตว์ นม เนย และไข่ ซึ่งสิ่งที่วีแกนทำนั้นนอกจากเรื่องการกินแล้ว ยังรวมไปถึงการงดใช้สินค้าที่ทำมาจากสัตว์อย่างกระเป๋าและรองเท้าหนังด้วย ซึ่งข้อดีของการเป็น “วีแกน (Vegan)” มีอะไรบ้าง แล้วจะช่วยลดโลกร้อนได้ด้วยเหรอ JobThai ขอชวนทุกคนมาไขข้อข้องใจกัน
เราจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกินทั้ง 3 ประเภทนี้คือการงดบริโภคเนื้อสัตว์ และเน้นทานผักผลไม้แทน แต่นอกจากนี้ก็ยังมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แตกต่างกัน งั้นมาลองเช็กกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่ทั้ง 3ประเภทนี้กินแตกต่างกัน
|
วีแกน
|
เจ
|
มังสวิรัติ
|
ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น นม เนย ไข่
|
|
|
✓
|
ผักกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม, ต้นหอม
|
✓
|
|
✓
|
กาแฟ, ชา (ไม่ใส่นมหรือครีมเทียม)
|
✓
|
✓
|
✓
|
เครื่องดื่มมึนเมา
|
✓
|
|
✓
|
ซึ่งนอกจากอาหารการกินทั้งหมดนี้แล้ว ชาววีแกน ยังงดการเบียดเบียนสัตว์ทุกชนิดทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายที่ทำมาจากหนังสัตว์ ขนสัตว์ หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ทดลองกับสัตว์ก็ตาม และข้อดีอีกอย่างนอกเหนือจากเรื่องของการไม่เบียดเบียนสัตว์หรือการทำบาปก็คือ การกินผัก ผลไม้ หรือธัญพืชนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราแน่ ๆ หากเรารับประทานในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน
การใช้ชีวิตแบบวีแกนที่กินเพียงผัก ผลไม้ และธัญพืชนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายเราไม่น้อย เพราะการกินแบบวีแกนจะทำให้เราห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์แบบไม่พอดี ไม่ว่าจะเป็นปริมาณคอเรสเตอรอล ความดัน หรือไขมันในเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกินเนื้อสัตว์มีแต่ส่งผลเสียเพียงอย่างเดียว เพราะหากเราเลือกกินในปริมาณที่พอเหมาะ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ก็ให้ผลดีมากกว่าผลเสียอยู่แล้ว
ซึ่งข้อจำกัดในการกินหลาย ๆ อย่างอาจทำให้ชาววีแกนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ต้องวางแผนมื้ออาหารของตัวเองอย่างสมดุลและรอบคอบ เพราะต้องเติมสารอาหารในส่วนที่ขาดไปจากการไม่กินเนื้อสัตว์ เช่น โปรตีน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการซ่อมแซ่มร่างกาย ซึ่งสารอาหารต่าง ๆ ที่ขาดไปจากการไม่กินเนื้อสัตว์ก็สามารถทดแทนได้ ดังนี้
-
โปรตีน จากพืชจำพวกถั่ว
-
แคลเซียม จากผักใบเขียว
-
สังกะสี, วิตามินดี, วิตามินบี 12 จากเต้าหู้และธัญพืช
-
โอเมก้า 3 และ 6 จากน้ำมันพืชบางชนิดและเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed)
รวมถึงการปรุงอาหารวีแกน ที่ต้องระวังเรื่องการปรุงเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยวิตามินที่หาได้ยากอยู่แล้วในธัญพืชอาจหายไปหากโดนความร้อนในอุณหภูมิที่สูงเกินไป การเลือกอาหารและวิธีการปรุงจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้วีแกนยิ่งได้รับความนิยมอีกอย่างหนึ่งก็คือ สามารถช่วย “ลดโลกร้อน” ได้อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หลาย ๆ คนหันมาให้ความสนใจในวงกว้างมากขึ้น
เนื่องจากการทำฟาร์มปศุสัตว์ทำให้พื้นที่ป่าไม้ส่วนมากถูกทำลาย โดยข้อมูลของ FAO (Food and Agriculture Organization) เผยว่า มนุษย์เราใช้พื้นที่ 1 ใน 4 ของโลกไปกับการปลูกพืชให้สัตว์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่มหาศาลที่เสียเปล่า ต้องใช้ทรัพยากรโลกมากมายทั้งดินและการใช้น้ำ โดยอีกหนึ่งข้อมูลจากสหประชาชาติบอกว่าในปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งหมด การทำฟาร์มปศุสัตว์เพียงอย่างเดียวนั้นให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 14.5% ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยไอเสียของรถยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบินทุกแห่งบนโลก ยังไม่รวมถึงกระบวนการแปรรูปมาเป็นอาหาร หรือข้าวของเครื่องใช้อีกด้วย
นอกจากนั้นเทรนด์การกินแบบวีแกนมีส่วนผลักดันให้เกิดการเกษตรมากขึ้นในหลายประเทศ มีการปลูกพืชที่ให้ผลผลิตสูงและมีคุณค่าทางสารอาหาร โดยการใช้ทรัพยากรในการดูแลต่ำเพื่อเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี พร้อมทั้งสนับสนุนสุขภาพของผู้บริโภค
เราอาจสรุปได้ว่าการหันมาใช้ชีวิตแบบวีแกนนั้นแม้ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการลดโลกร้อนได้ แต่ก็เป็นส่วนผลักดันทางอ้อมที่จะทำให้ผู้ผลิตหันมามองธุรกิจตนเองแทน ซึ่งความนิยมที่กว้างมาขึ้นในต่างประเทศก็ส่งผลให้ธุรกิจหลายอย่างมีการทำผลิตภัณฑ์เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนที่เป็นวีแกน เช่น ร้านเบเกอรีที่ผลิตอาหารทางเลือกสำหรับลูกค้าชาววีแกน หรือกระทั่งอุตสาหกรรมความงามอย่างเช่น แบรนด์เครื่องสำอางที่ออกผลิตภัณฑ์ 100% Vegan ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์อย่างน้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง (Wax) ไปจนถึงแปรงแต่งหน้าที่ทำมาจากขนสัตว์ เพื่อซัพพอร์ทชาววีแกน ซึ่งนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อลดการฆ่าสัตว์ และหากวีแกนยังได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอเราจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือลดการใช้เครื่องบินเสียอีก
สุดท้ายแล้วการกินเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด หรือการเป็นวีแกนแบบ 100% ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทุกคนควรต้องทำ เพราะแต่ละอย่างก็มีผลดีและผลเสียที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะกินแต่เนื้อสัตว์มากเกินไป หรือกินแต่ผักผลไม้เพียงอย่างเดียว หากตอนนี้เรากำลังสนใจหรืออยากเป็นส่วนร่วมในการผลักดันการงดทารุณสัตว์ดูสักครั้ง เราไม่จำเป็นต้องเป็นวีแกนแบบ 100% ก็ได้ อาจเริ่มจากทานเฉพาะบางมื้ออาหาร หรือเพียงเพิ่มปริมาณผักมาทดแทนปริมาณเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารนั้น ๆ แทน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจมากกว่าแค่สุขภาพที่ดีขึ้นพียงอย่างเดียวแน่นอน
|
|
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน |
Public group · 42,947 members |
|
|
|
ที่มา:
helenathailand.co
tipsdd.com
trueplookpanya.com
kleenshops.com
alivearound.com