-
"เงินได้พึงประเมิน" คือเงินจากการทำงานแล้วทำให้เรารวยขึ้น และเมื่อมีเงินได้เข้ามา กฎหมายก็จะบังคับให้เราต้องเอามาเสียภาษี
-
ค่าใช้จ่าย คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายมอบให้ ขึ้นอยู่กับ "ประเภทของเงิน" ที่ได้รับ
-
ค่าลดหย่อน คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายมอบให้ ขึ้นอยู่กับ “สถานภาพและภาระ” ที่มีอยู่
|
|
JobThai Mobile Application หางานง่าย เจองานที่ใช่ โหลดเลย
|
|
การจ่ายภาษี เป็นเรื่องที่มาคู่กับคนทำงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฟรีแลนซ์หรือมนุษย์เงินเดือน แต่แม้รายได้รวมของเราจะถึงเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษี ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องคิดยอดภาษีที่ต้องจ่ายจากรายได้พวกนั้นทันที เพราะยังมีช่องทางที่ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้อยู่ ที่เรียกว่า “ค่าลดหย่อน”
ก่อนการยื่นภาษีเราเลยต้องมาคำนวณภาษีว่าเรามีรายได้เท่าไหร่และมาจากไหนบ้าง จากนั้นจึงรวบรวมเอกสารที่จะใช้ยื่นให้ครบ รวมถึงต้องรู้ว่ามีอะไรที่จะนำมาลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายของเราได้บ้าง ถ้าเราจ่ายภาษีน้อยลงได้จะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บเพื่อนำไปประโยชน์อย่างอื่นมากขึ้น แต่ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจว่าเงินในแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกัน บางอย่างใช้ลดหย่อนภาษีได้ แต่บางอย่างก็ไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้
JobThai จึงรวบรวมความหมายของเงินได้ประเภทต่าง ๆ และพาไปดูว่าเราสามารถลดหย่อนภาษีจากอะไรได้บ้าง เพื่อจะได้ทำให้คนทำงานอย่างเรามีเงินเก็บมากยิ่งขึ้น
3 คำนี้จำให้ดี: เงินได้พึงประเมิน ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน
ถึงจะขึ้นชื่อว่าเงินเหมือนกันก็ตาม แต่ในการคิดภาษีนั้นกฎหมายได้แบ่งเงินออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บภาษี โดย 3 อย่างหลักที่คนทำงานควรรู้จักก็ได้แก่ "ค่าใช้จ่าย เงินได้พึงประเมิน และค่าลดหย่อน" ซึ่งมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย หากเราไม่ทำความเข้าใจ 3 สิ่งนี้ให้ดี ก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสในการลดหย่อนภาษีได้
อะไรเป็นเงินได้พึงประเมินบ้าง?
ปกติแล้วไม่ว่าจะได้เงินจากอะไรก็ตาม ถ้าเงินนั้นเข้ามาอยู่ในมือเราแล้วทำให้เรารวยขึ้น ก็ถือว่าเงินนั้นคือ "เงินได้" ของเราแล้ว และเมื่อมีเงินได้เข้ามา กฎหมายก็จะบังคับให้เราต้องเอามาเสียภาษี ซึ่งภาษากฎหมายจะเรียกเงินได้นั้นว่า "เงินได้พึงประเมิน" ซึ่งก็คือเงินที่เราได้มา เพื่อจะนำไปประเมินว่าต้องเสียภาษีหรือเปล่านั่นเอง
ประมวลรัษฎากรได้แยกเงินได้พึงประเมินแบ่งได้เป็น 8 ประเภท ซึ่งเงินได้แต่ละประเภทจะมีวิธีหัก "ค่าใช้จ่าย" ที่เกี่ยวข้องกับการหารายได้ และการหักภาษี ณ ที่จ่ายแตกต่างกันไป
-
ประเภทที่ 1 คือ เงินที่ได้รับจาก เงินเดือน โบนัส
-
ประเภทที่ 2 คือ เงินที่ได้รับจาก ตำแหน่งงานซึ่งไม่ใช่เงินเดือน หรืออาชีพเสริมต่าง ๆ
-
ประเภทที่ 3 คือ เงินที่ได้รับจาก ค่าความนิยม ( Goodwill ) ค่าแห่งลิขสิทธิ์ เป็นต้น
-
ประเภทที่ 4 คือ เงินที่ได้รับจาก ดอกเบี้ย ปันผล ส่วนแบ่งกำไร ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น เป็นต้น
-
ประเภทที่ 5 คือ เงินที่ได้รับจาก การให้เช่าทรัพย์สิน ยืมเงิน เป็นต้น
-
ประเภทที่ 6 คือ เงินที่ได้รับจาก การประกอบวิชาชีพอิสระ
-
ประเภทที่ 7 คือ เงินที่ได้รับจาก การรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระ
-
ประเภทที่ 8 คือ เงินที่ได้รับจาก การทำธุรกิจ ทำเกษตร อุตสาหกรรม ขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ อื่น ๆ
สรุปแล้วไม่ว่าจะได้รับเงินจากทางไหนก็ต้องถูกจัดอยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังนั้นเราต้องรู้ด้วยว่าเงินได้ของเราอยู่ในประเภทใด จะได้ยื่นภาษีถูกต้อง และจะได้รู้ว่าสามารถหักค่าใช้จ่ายอะไรได้บ้าง
สำหรับเงินได้ประเภทที่ 6 หรือ เงินได้ของวิชาชีพอิสระ (แต่ไม่ใช่ฟรีแลนซ์) เพราะเงินของเหล่าฟรีแลนซ์นั้น จะถือว่าเงินที่ได้มาจะอยู่ในประเภทที่ 8 หรืออื่น ๆ แต่วิชาชีพอิสระหมายถึง 6 อาชีพที่กฎหมายระบุว่าเป็นอาชีพที่สามารถหารายได้นอกเหนือจากเงินเดือนด้วยความสามารถพิเศษ ซึ่งก็มี
-
วิชาชีพการประกอบโรคศิลปะ ได้แก่หมอ พยาบาล
-
นักกฎหมาย
-
วิศวกร
-
นักสถาปัตยกรรม
-
นักบัญชี
-
ช่างประณีตศิลปกรรม
อะไรเป็นค่าใช้จ่ายบ้าง?
ในชีวิตประจำวัน เรามีค่าใช้จ่ายที่ใช้จ่ายไปกับสิ่งของต่าง ๆ อย่าง จ่ายค่ากับข้าว จ่ายค่ากาแฟ จ่ายค่าเสื้อผ้า เงินที่จ่ายออกไปก็เพื่อจะได้รับสิ่งของเหล่านั้นตอบแทนกลับมา สำหรับความสำคัญในเชิงภาษีก็คือว่า การทำงานทุกอาชีพก็มี "ค่าใช้จ่าย" เช่นเดียวกัน เพื่อที่จะได้รายได้ตอบแทนกลับคืนมา คือกว่าที่จะได้รายได้มาก็ต้องมีการลงทุนไปก่อน
เมื่อต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับสร้างรายได้ กฎหมายเลยให้สิทธิประโยชน์ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักภาษีเพื่อเป็นต้นทุนสำหรับการทำงาน โดยที่เงินได้แต่ละประเภทจะหักค่าใช้จ่ายได้เท่าที่คิดว่าเหมาะสมกับรายได้ที่เกิดขึ้น แต่ว่าการหักค่าใช้จ่ายเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างหนึ่ง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเขียนรับรองไว้ด้วย หากค่าใช้จ่ายนั้นไม่มีกฎหมายรับรองก็จะหักค่าใช้จ่ายไม่ได้ แม้ว่าเราจะจ่ายไปจริง ๆ ก็ตาม
การหักค่าใช้จ่าย 2 แบบ คือ
-
หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา แบบนี้ไม่ต้องใช้หลักฐานค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น ผู้มีเงินได้สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้แต่รวมกันแล้วต้อง ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับทุกคน
-
หักค่าใช้จ่ายจริงตามความจำเป็นและสมควร หรือหักตามที่ใช่จ่ายจริง ๆ ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายด้วย ซึ่งจะคิดเป็นกรณี ๆ ไป เช่น ทำกิจการที่ต้องมีค่าประกอบการ หรือการค้าที่ดินแต่ไม่ได้ตั้งใจเก็งกำไร อาจขายไปเพื่อการกุศลก็เอามาหักภาษีได้
อะไรเป็นค่าลดหย่อนบ้าง?
ค่าลดหย่อนคือ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายมอบให้กับผู้เสียภาษีตามภาระของตัวผู้เสียภาษีคนนั้น ๆ ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับค่าลดหย่อนภาษี 3 กลุ่มหลัก ๆ กันก่อนดีกว่า
-
ภาระติดตัว
-
กระตุ้นเศรษฐกิจ
-
ประกันชีวิตและลงทุน
ภาระติดตัว
ค่าลดหย่อนในส่วนนี้คือ ค่าใช้จ่ายที่เราไม่สามารถเลี่ยงได้ อย่างค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงบุตร ฝากครรภ์ คลอดบุตร หรือเลี้ยงดูพ่อแม่ พิการหรือทุพพลภาพ โดยแยกรายละเอียดดังนี้
ค่าลดหย่อน
|
จำนวนเงินที่ลดหย่อนได้
|
หมายเหตุ
|
ส่วนตัว
|
60,000 บาท
|
-
|
คู่สมรส
|
60,000 บาท
|
ต้องเป็นคู่สมรถตามกฎหมายและไม่มีเงินได้
หรือมีเงินได้และเลือกยื่นแบบแสดงรายการรวมกันในการคำนวณภาษี
|
บุตร
|
30,000 บาท ต่อคน
|
บุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป
เพิ่มค่าลดหย่อนได้คนละ30,000 บาท
|
บิดามารดา
|
30,000 บาท ต่อคน
|
-
|
ผู้พิการ หรือ ทุพพลภาพ
|
60,000 บาท
|
-
|
ค่าฝากครรภ์และทำคลอด
|
ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 60,000 บาท
|
-
|
กระตุ้นเศรษฐกิจ
กลุ่มนี้คือค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างเช่นโครงการต่าง ๆ ที่รัฐเชิญชวนให้เราออกไปใช้จ่าย เช่นเที่ยวเมืองหลัก - เมืองรอง เมื่อเรามีรายจ่ายในหมวดนี้ เราก็จะสามารถนำมาเป็นค่าลดหย่อนได้
ค่าลดหย่อน
|
จำนวนเงินที่ลดหย่อนได้
|
หมายเหตุ
|
กู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
|
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกินจำนวน100,000 บาท
|
-
|
ค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิต
|
ลดหย่อนได้ 2 เท่าจากที่จ่ายจริง
|
เฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ประเภทที่ 5 - 8
ต้องจ่ายระหว่างวันที่
1 พ.ย. 59 – 31 ธ.ค. 64
|
กรณีซ่อมแซมบ้านและรถที่เสียหายจากน้ำท่วม
|
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
-บ้านสูงสุด 100,000 บาท
-รถสูงสุด 30,000 บาท
|
ต้องจ่ายภายในวันที่ 31 มี.ค. 62
และมีหลักฐานการจ่ายค่าซ่อม
|
ลงทุนในธุรกิจ Startup
|
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
|
ต้องลงหุ้นหรือลงทุนในธุรกิจ Start Up
ตั้งแต่ 1 ม.ค. 61 – 31 ธ.ค. 62
|
การท่องเที่ยวทั่วไทย
(เมืองหลัก - เมืองรอง)
|
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
-เมืองหลัก 15,000 บาท
-เมืองรอง 20,000 บาท
|
ทั้ง 2 รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 20,000 บาท
และต้องจ่ายภายในวันที่
30 เม.ย. - 30 มิ.ย. 62
|
ค่าลดหย่อนซื้อสินค้า OTOP
|
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
|
สำหรับสินค้าที่ซื้อระหว่าง
30 เม.ย. – 30 มิ.ย. 62
|
ค่าลดหย่อนซื้อสินค้าเพื่อการศึกษาและกีฬา
|
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
|
สำหรับสินค้าที่ซื้อระหว่าง
1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 62
|
ค่าลดหย่อนซื้อหนังสือ
และe-book
|
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
|
สำหรับสินค้าที่ซื้อระหว่าง
1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 62
|
ประกันชีวิตและการลงทุน
ในกลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มที่คุ้มค่า เพราะเราจะไม่เสียค่าใช้จ่ายไปเฉย ๆ แต่เราจะมีรายรับกลับมา และยังเป็นการลงทุนอีกวิธีหนึ่งด้วย มาดูกันว่าประกันชีวิตและการลงทุนสามารถลดหย่อนอะไรได้บ้าง
ค่าลดหย่อน
|
จำนวนเงินที่ลดหย่อนได้
|
หมายเหตุ
|
ประกันชีวิตทั่วไป
|
ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
|
-
|
ประกันสุขภาพตนเอง
|
ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน15,000 บาท
|
-
|
ประกันสุขภาพ
พ่อแม่
|
ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน15,000 บาท
|
-
|
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
|
15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกินจำนวน 200,000บาท
|
-
|
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)
|
15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงและสูงสุดไม่เกินจำนวน 500,000 บาท
|
ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฎิทิน
|
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
|
15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงและสูงสุดไม่เกินจำนวน 500,000 บาท
|
ต้องซื้อติดต่อกันทุกปี เป็นจำนวนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี หรือ 5,000 บาท
|
กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
|
ตามที่จ่ายจริงและสูงสุดไม่เกินจำนวน 500,000 บาท
|
-
|
เงินประกันสังคม
|
ตามที่จ่ายจริงและสูงสุดไม่เกินจำนวน 9,000 บาท
|
-
|
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
|
ตามที่จ่ายจริงและสูงสุดไม่เกินจำนวน 13,200 บาท
|
-
|
สรุป "ค่าใช้จ่าย" และ "ค่าลดหย่อน" กันอีกที ว่าต่างกันตรงไหน
-
ค่าใช้จ่าย คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายมอบให้ขึ้นอยู่กับ "ประเภทของเงิน" ที่ได้รับ เพราะบางอาชีพมีต้นทุนในการทำงานสูงกว่าจะได้รายรับกลับคืนมา ก็ควรจะต้องลดส่วนนี้ให้เขา
-
ค่าลดหย่อน คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายมอบให้ขึ้นอยู่กับ "สถานภาพและภาระ" ที่มีอยู่ บางคนมีภาระที่ต้องใช้เงินมากกว่าคนอื่น ดังนั้นก็ต้องลดภาระในส่วนภาษีให้เขา
การเตรียมตัวเรื่องเกี่ยวกับภาษีนั้น ควรเตรียมตัวตั้งแต่ต้นปี จะได้วางแผนจัดการค่าลดหย่อนได้อย่างถูกต้อง แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ JobThai จะรีบมาอัปเดตให้ทุกคนทราบกันหากในปีหน้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง
JobThai มี Line แล้วนะคะ
ติดตามสาระความรู้สำหรับคนทำงาน ที่ย่อยง่าย อ่านสนุก และพูดคุยทุกแง่มุมเกี่ยวกับการทำงานอย่างใกล้ชิดที่