22/12/20 | 5.1k |

ThaiBev กำลังมองหาพลังและไฟของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากเติบโตแบบไร้ขีดจำกัดไปด้วยกัน
ข้อดีของการรับเด็กรุ่นใหม่คือพวกเขาจะภูมิใจที่ได้โอกาส มีแรงจูงใจในการทำงานให้ออกมาดี
ถ้าอยากเปลี่ยนงานแล้วดีต้องเป็น “ปลาที่ถูกน้ำ” เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร และเหมาะกับที่ไหน
ThaiBev ยินดีรับคนข้ามสายงาน เพราะเชื่อว่าผลงานที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งที่เรียนมาที่มหาวิทยาลัยทั้งหมด
“การเติบโตในหน้าที่การงาน” เป็นสิ่งที่รั้งไม่ให้เด็กรุ่นใหม่ลาออก
คนที่ลาออกแล้วอยากกลับมาใหม่ มีโอกาสเติบโตได้แต่อาจต้องไปต่อแถวใหม่
การทำงานของ ThaiBev มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงาน
COVID-19 Relief Center สวัสดิการที่ให้พนักงานและครอบครัวเข้าถึงการตรวจได้ง่าย และเพิ่มมาตรฐานด้านอุตสาหกรรมอาหาร
ในยุคนี้สิ่งที่คนทำงานต้องมีคือ Reskill Upskill และ New Skill รวมถึงการเทรนนิ่งแบบสองทาง
ทักษะที่คนทำงานรุ่นใหม่ควรต้องมีในมุมมอง ThaiBev

คนทำงานส่วนใหญ่มักอยากทำงานที่ตัวเองชอบและเติบโตในหน้าที่การงานกันทั้งนั้น แต่ถ้างานที่ทำอยู่ปัจจุบันไม่สามารถเติบโตได้ หรือเป็นสายงานที่เรารู้สึกไม่ใช่ เราก็คงอยากออกไปหาที่ใหม่ที่ตอบโจทย์ของเราได้มากกว่านี้ แต่การตัดสินใจเปลี่ยนงาน หรือข้ามสายงานในสถานการณ์แบบนี้เสี่ยงมากแค่ไหน หรือถ้าตัดสินใจอยู่ที่เดิมยังมีโอกาสโตได้หรือไม่ วันนี้ JobThai จะพาทุกคนมาดูคำแนะนำดี ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในวงการ HR กับ “พี่เอกกี้” ดร.เอกพล ณ สงขลา CPO (Chief people Officer) ของ ThaiBev พร้อมวิธีการดูแลพนักงานในองค์กร

ThaiBev กำลังมองหาพลังและไฟของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากเติบโตแบบไร้ขีดจำกัดไปด้วยกัน

เนื่องจาก ThaiBev เป็นองค์กรใหญ่ที่มีหลายกลุ่มธุรกิจ จึงมีตำแหน่งงานที่ค่อนข้างหลากหลาย รวมถึงปรัชญาของ ThaiBev เองคือการสร้างสรรค์ธุรกิจให้เติบโตขึ้น ดังนั้นเขาจึงมีการมองหาคนอยู่ตลอด ซึ่งในปีนี้ ThaiBev มีความสนใจน้อง ๆ รุ่นใหม่ หรือเด็กจบใหม่เข้ามาร่วมงาน ในส่วนของตำแหน่งที่มองหานั้นมีมากมาย เช่น สายงานขายที่เป็นหัวใจสำคัญ สาย Marketing สาย Support สาย Operation สายเทคโนโลยีด้านการผลิต สายโลจิสติกส์ และ สายวิจัย

ถึงแม้ว่า ThaiBev จะประสบความสำเร็จมาโดยตลอดเพราะการใช้ปัญญาของคนรุ่นเก่า แต่ในตอนนี้เขาอยากลองหาพลังและไฟของเด็กรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเสริม เพื่อที่องค์กรจะได้มีความสามารถในการปรับตัวให้ทันโลกได้ตลอดเวลา รวมถึงยังเป็นการให้โอกาส และสร้างประสบการณ์ให้น้อง ๆ ด้วย อยากให้น้อง ๆ ที่ทำงานในองค์กรสามารถเติบโตไร้ขีดจำกัดไปด้วยกัน

ThaiBev โอกาสไร้ขีดจำกัดสำหรับคนทำงานทุกเจเนอเรชัน

ข้อดีของการรับเด็กรุ่นใหม่คือพวกเขาจะภูมิใจที่ได้โอกาส มีแรงจูงใจในการทำงานให้ออกมาดี

เมื่อก่อน ThaiBev มองหาแต่คนที่มีประสบการณ์ เพราะคิดว่าเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ไม่น่าจะช่วยอะไรได้มาก แต่ตอนนี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เขาพร้อมจะให้พื้นที่แก่ให้น้อง ๆ ที่มีศักยภาพหรือมีไฟ ถึงอาจจะขาดทักษะ แต่อยากให้ลองเข้ามาทำงาน และพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน รวมถึงอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในการรับเด็กรุ่นใหม่คือ การที่พวกเขาได้รับโอกาสตั้งแต่ยังอายุไม่มาก มันสร้างแรงจูงใจให้พวกเขา พวกเขาจะภูมิใจที่ได้รับโอกาส และมีแรงจูงใจในการทำงานกว่าปกติ และเมื่อน้อง ๆ มีแรงผลักดัน องค์กรเองก็ได้เห็นการทำงานของคนรุ่นใหม่ ๆ ด้วย เรียกได้ว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย อาจจะต้องโค้ชกันบ้างในช่วงแรก ๆ แต่มันก็เป็นสูตรของการทำงานอยู่แล้ว ดังนั้น ThaiBev จึงอยากเป็นองค์กรที่ไม่ปิดกั้นเด็กรุ่นใหม่ด้วยคำว่าต้องมีประสบการณ์เท่านั้น

ถ้าอยากเปลี่ยนงานแล้วดีต้องเป็น “ปลาที่ถูกน้ำ” เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร และเหมาะกับที่ไหน

ช่วงปลายปีหรือต้นปีใหม่มีคนหางานและเปลี่ยนงานสูง ซึ่งในข้อมูลของ JobThai คนหางานมีประมาณ 2 ล้านUser ต่อเดือน ทำให้ตลาดหางานมีการแข่งขันสูง และหลายคนเองก็กังวลว่าจะเปลี่ยนงานดีไหม ซึ่งพี่เอกกี้เล่าว่าเวลาสัมภาษณ์แคนดิเดต เขาจะใช้เวลาประมาณ 60% ให้แคนดิเดตถามเขา เพราะเชื่อว่าคนที่อยากเข้ามาร่วมงานต้องเข้าใจ Culture ของบริษัทว่าเหมาะกับตัวเองไหม รวมถึงเข้าใจความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้จะบอกได้ว่าเราเหมาะกับการเปลี่ยนมาทำงานในองค์กรนี้หรือไม่

นอกจากนั้นคนทำงานควรลองกลับมาคิดทบทวนว่าทำไมถึงอยากลาออกจากที่ปัจจุบัน มันยากตรงไหน หรือเราพิสูจน์ตัวเองเต็มที่หรือยัง ถ้ายังมองเห็นโอกาสเติบโตได้ เขาเชื่อว่าการเติบโตในที่เดิมมีโอกาสง่ายกว่าที่ใหม่อยู่แล้ว ลองชั่งน้ำหนักว่าถ้าออกไปเราจะเติบโตในแง่ไหน ตรงกับสิ่งที่เราชอบรึเปล่า เพราะถ้าเราค้นพบตัวเองว่าเราชอบอะไร เราก็จะทำออกมาได้ดี เหมือนสำนวนที่บอกว่า “ปลาที่ถูกน้ำ” หรือ “นกที่ถูกฟ้า” สุดท้ายถ้าเลือกได้แล้วก็อยากให้รับผิดชอบต่อการเลือกของตัวเองด้วย ถ้าเลือกจะอยู่ก็ทำให้เต็มที่ แต่ถ้าเลือกจะไป ผลลัพธ์จะเป็นไงก็ต้องน้อมรับ แต่ที่สำคัญคือต้องพยายามอย่างเต็มที่ก่อนในทุก ๆ อย่าง

ThaiBev ยินดีรับคนข้ามสายงาน เพราะเชื่อว่าผลงานที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งที่เรียนมาที่มหาวิทยาลัยทั้งหมด

ThaiBev ค่อนข้างเปิดกว้างอยู่แล้ว ถ้าคนที่อยากข้ามสายก็ควรนำความรู้ของตัวเองมาปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการบริการลูกค้า การพรีเซนต์ตัวเอง หรือนำความรู้แนวใหม่มาปรับใช้ เพราะในปัจจุบันมีการข้ามสายอุตสาหกรรมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในองค์กรเองก็ส่งเสริมให้คนที่ทำงานในองค์กรมาสัก 3-4 ปี มีการปรับเปลี่ยนงานบ้าง เพราะฉะนั้นการที่คุณกล้ารับงานใหม่คือสิ่งที่สำคัญ

สำหรับเคสข้ามสายงานที่เคยเจอ คือเป็นน้องที่จบสถาปัตย์แต่เข้ามาทำใน ThaiBev ซึ่งเป็นธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม พอน้องเข้ามาทำงานด้านดีไซน์ เริ่มจากดีไซน์โลโก้ เขาก็ทำได้ดี รวมถึงได้ลองเป็นหัวหน้าโปรเจกต์คิดคอนเซ็ปต์ ได้ออกไปโชว์เคสในงาน Thailand Sustainability Expo ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรเจกต์เล็ก ๆ ที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นการทำงานเราอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องใช้สิ่งที่เรียนมาที่มหาวิทยาลัยซะทั้งหมด แต่เราต้องเอามาต่อยอดให้กลายเป็นผลงานที่โดดเด่นได้

“การเติบโตในหน้าที่การงาน” เป็นสิ่งที่รั้งไม่ให้เด็กรุ่นใหม่ลาออก

เด็กรุ่นใหม่ค่อนข้างใจร้อนในเรื่องของการลาออก ThaiBev จึงมองว่าโอกาสในการเติบโตที่ค่อนข้างเร็วคือสิ่งที่รั้งเด็กรุ่นใหม่เอาไว้ไม่ให้ลาออก รวมถึงการได้เรียนรู้งานใหม่ ๆ ด้วย ซึ่งเมื่อก่อน ThaiBev จะมีนโยบายในการเลื่อนขั้นตามอายุงาน คือต้องทำงานที่บริษัท 2 ปีก่อนถึงจะได้เลื่อน Level และต้องผ่านการประเมินผลคะแนนด้วย ซึ่งนโยบายแบบนี้อาจไม่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ เพราะสำหรับพวกเขาสองปีมันนานเกินไป ทางบริษัทเองไม่สามารถล้มเลิกนโยบายนี้ได้ แต่ก็ทำความเข้าใจว่าอาจจะต้องมีกรณีพิเศษสำหรับคนที่ทำผลงานดีจริง ๆ และคิดว่าการเติบโตอาจไม่ใช่การเลื่อนตำแหน่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการได้โอกาสทำงานกับคนใหม่ ๆ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วย

คนที่ลาออกแล้วอยากกลับมา มีโอกาสเติบโตได้แต่อาจต้องไปต่อแถวใหม่

ที่ ThaiBev คนที่เคยลาออกไปแล้วอยากกลับมาใหม่มีมาเรื่อย ๆ แน่นอนว่ากลับมาใหม่อาจจะมีสิทธิพิเศษตรงที่เรารู้จักกันก็จริงอยู่ แต่กติกาของที่นี่คือถ้ากลับมาแล้วต้องไปต่อแถวใหม่ให้ถูกต้อง ในเรื่องของโอกาสทางด้านการทำงาน ThaiBev จะให้โอกาสในการทำงานกับคนที่อยู่มาตลอดมากกว่าคนที่ออกไปแล้วกลับมา เพราะแน่นอนว่าคนที่อยู่ต่างฝ่าฟันปัญหามาไม่ไปไหน เขาจึงไม่อยากให้คนที่อยู่คิดว่าคนที่ตัดสินใจออกไปแล้วกลับมาใหม่ได้รับโอกาสในการเติบโตมากกว่า แต่ถ้าคนที่ออกไปแล้วกลับมาเคยทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาก็ยินดีพิจารณาโอกาสตรงนั้นเช่นกัน

การทำงานของ ThaiBev มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงาน

การทำงานของ ThaiBev เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนอาจจะต้องประชุมเจอหน้า หรือส่งเอกสารข้ามโต๊ะ ทุกวันนี้เปลี่ยนมาใช้ Video Conference ข้อดีคือมันง่ายและสะดวก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเริ่มการประชุมได้ตรงเวลา ทำให้ปัจจัยในการเข้าประชุมสายน้อยลง ซึ่งเมื่อก่อนอาจเคยมีคิดว่าคนทำงานบางเจนเนอเรชันทำงานผ่านระบบดิจิทัลต่าง ๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้ 95% ของพนักงาน ThaiBev ซึ่งตีเป็นหลายหมื่นคนสามารถเข้าถึงดิจิทัลได้มากขึ้น

นอกจากนั้น ThaiBev มีการร่วมงานกับชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้การสื่อสารงานไม่ให้ตกหล่น โดยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ อีกทั้งเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยที่มีมาตรฐานสูงขึ้น ทั้งเรื่องความสะอาด สุขอนามัย ดังนั้นเขาคิดว่าการทำงานที่เปลี่ยนไปของ ThaiBev ไม่ได้เปลี่ยนแค่ชั่วคราวแต่เปลี่ยนไปเลย แม้ว่าอาจจะไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมด เช่น อาจจะยังมีการจองห้องประชุม แต่เป็นการประชุมแบบ Video Conference ที่คนครึ่งนึงประชุมอยู่ที่อื่น

COVID-19 Relief Center สวัสดิการที่ให้พนักงานและครอบครัวเข้าถึงการตรวจได้ง่าย และเพิ่มมาตรฐานด้านอุตสาหกรรมอาหาร

ThaiBev เป็นหนึ่งใน 5 บริษัทไทยที่ได้รับรางวัล "HR Asia Best Companies to Work for in Asia” ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจ รวมถึง COVID-19 Relief Center หรือศูนย์บริการพนักงานช่วงวิกฤตก็เป็นสิ่งที่เขาภูมิใจ เพราะเป็นทำให้พนักงานเข้าถึงบริการได้มากถึง 12 คู่สาย เมื่อมีพนักงานติดต่อเข้ามาจะมีการประสานงานให้พนักงานอุ่นใจ มีการให้พนักงานเช็กอินทุกวันเพื่อเป็นประโยชน์ในการ Track and Trace ในช่วงที่มีการติดเชื้อตามที่ต่าง ๆ เขาสามารถรันข้อมูลได้ภายในหนึ่งชั่วโมงว่ามีใครมีความเสี่ยงบ้าง

ThaiBev มีศูนย์ตรวจ COVID-19 ของตัวเองในกรุงเทพฯ ด้วยความตั้งใจอยากให้พนักงานและครอบครัวเข้าถึงการตรวจได้ง่าย รวมถึงพนักงานทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารจำเป็นต้องตรวจ COVID-19 ทุก ๆ เดือนหรือสองเดือน ซึ่งมาตราฐานที่เข้มงวดทำให้ Headquarter ของ KFC ถึงกับเอ่ยปากชม ซึ่งนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนความใส่ใจของความปลอดภัย นอกจากนั้นยังมีเอทิลแอลกอฮอล์บริการพนักงานและครอบครัว โรงเรียน โรงพยาบาลต่าง ๆ และมีการปรับปรุงโรงงานไปผลิตหน้ากาก ถุงมือ อีกด้วย

ในยุคนี้สิ่งที่คนทำงานต้องมีคือ Reskill, Upskill และ New Skill รวมถึงการเทรนนิ่งแบบสองทาง

Reskill คือการที่งานปัจจุบันไม่ต้องการคุณมากเท่าเมื่อก่อน คุณควรต้องรีบ Reskill เพื่อให้เกิดทักษะใหม่ เช่น เมื่อก่อนเคยลงบัญชีด้วยกระดาษ ถ้าเทคโนโลยีเข้ามาทำได้ เราก็ต้อง Reskill ไปทำอย่างอื่น

Upskill คือความต้องการของลูกค้าหรือตลาดสูงมากอย่างรวดเร็ว ถ้าเราไม่สามารอัปเกรดตัวเองก็จะตามคนอื่นไม่ทัน ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้าใจลูกค้าที่ลึกซึ้งขึ้น เอาการวิเคราะห์ต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เราขึ้นไปอยู่อีกระดับ

New Skill คือการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ หรือการทำอะไรใหม่ ๆ เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ไม่ยากเหมือน Reskill ที่ต้องเปลี่ยนความคุ้นเคยมาเป็นอีกวิธีการซึ่งมันยาก ส่วน Upskill ก็คือการทำอยู่ในมาตรฐานของตัวเอง แต่ถูกขอให้ทำเกินมาตรฐานซึ่งก็ยากไม่แพ้กัน แต่สำหรับ New Skill เหมือนการเริ่มใหม่ ทำธุรกิจใหม่ ซึ่งทำได้ง่ายที่สุดในสามข้อ

ช่วงนึงที่ผ่านมา ThaiBev เคยลองเปลี่ยนการเทรนนิ่งเป็นแบบดิจิทัล 100% แต่กลับไปไม่รอด เพราะปัญหาคือฝั่งที่เรียนไม่สามารถไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด เสถียรที่สุด รวมถึงยังมีสิ่งที่เหนือความคาดหมายอีกเกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้กระทบแค่คนเดียวแต่กระทบการเทรนนิ่งของคนอื่น ๆ ด้วย สุดท้ายจึงมาค้นพบว่ามันจำเป็นที่ต้องมีทั้ง Fully Digital และ Face to Face ซึ่งตอนนี้ก็เลยมีทั้งสองอย่างเลย

ทักษะที่คนทำงานรุ่นใหม่ควรต้องมีในมุมมอง ThaiBev

ทักษะที่คนทำงานรุ่นใหม่ควรต้องมีสิ่งแรกคือ Collaboration เพราะใครก็ตามที่มาร่วมทีม ถ้ามทักษะที่สามารถประสานจุดเเข็ง ปิดจุดอ่อนของทีม ประสานพลังได้จะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ต่อมาคือ Communication เริ่มจากการฟังที่ยอดเยี่ยม มีทักษะการสื่อสารที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน สามารถสื่อสารในสิ่งที่จำเป็น สื่อสารเพื่อมีนวัตกรรม รวมถึงทำให้อีกฝั่งเข้าใจสารได้อย่างลึกซึ้ง และสุดท้ายคือ Critical Thinking ที่เป็นจุดเด่นของคนรุ่นใหม่ที่ควรมีเช่นเดียวกัน

ThaiBev เองก็มี Global Values หรือค่านิยมกลุ่มที่ยึดถือร่วมกัน เป็นคุณค่ารวมที่เชื่อมทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งมี 3C ดังนี้

Collaboration: การผสานพลัง ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและความหลากหลายของแต่ละบุคคล เพื่อผสานความแข็งแกร่งและมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน
Creating Values: การสร้างสรรค์คุณค่า มุ่งมั่นที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ เราไปทำงานเราต้องสามารถสร้างคุณค่าได้ เราต้องทำให้ดีขึ้น
Caring for stakeholders: เอาใจใส่ต่อผู้เกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจทุกมุมมองของทุกฝ่ายด้วยความตั้งใจดีและความละเอียดของการทำงานเพื่อความยั่งยืน