ตอนนี้การทำงานแบบ Work from Home ได้กลายเป็นวิถีชีวิตใหม่ของหลายต่อหลายองค์กรและคนทำงานทำงานไปแล้ว ทำให้หลายอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาใช้อำนวยความสะดวกให้ทำงานได้จากทุกที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้เป็นการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดทั้งความปลอดภัยจากโรคระบาดที่รุนแรง ตลอดจนเป็นความพยายามในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปข้างหน้าต่อได้แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในปัจจุบัน นอกจากนี้การทำงานจากที่บ้านทำให้เราได้ประหยัดเวลาในการเดินทางไป-กลับที่ทำงาน ได้ประหยัดการใช้พลังงานเชื้อเพลง ลดการปล่อยมลพิษสู่ท้องถนนและอากาศ รวมถึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และลดการใช้ทรัพยากรของออฟฟิศอีกด้วย
วันนี้ JobThai ขอนำเสนอวิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้การ Work from Home นั้นเป็นประโยชน์กับทั้งเราเอง และสิ่งแวดล้อม มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จากการนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน
เชื่อว่าทุกคนคงไม่มีใครอยากทำลายสิ่งแวดล้อมและโลกที่น่าอยู่ของเราใบนี้ แต่ด้วยตารางงานที่รัดตัว เราอาจจะหลงลืม เผลอทำอะไรที่อาจจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยที่ไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม การจะทำงานให้ Green จริง ๆ อาจต้องมีการปรับตัวอีกนิดหน่อย นอกเหนือไปจากการปรับตัวปกติจากการทำงานในออฟฟิศมาทำงานที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง เกินที่คนทำงานคนหนี่งจะทำได้
การทำงานที่บ้านนับเป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างนิสัยในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะทำไม่ได้ที่ออฟฟิศเนื่องด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ แต่การ Work from Home จะทำให้เรามีโอกาสหันกลับมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น เพราะนอกจากจะสามารถบริหารเวลาให้สอดคล้องกับตารางการทำงานของเราแล้ว การใช้บ้านของเราเองเป็นฐานที่มั่นสำคัญ เราจะสามารถกำหนดปัจจัยด้านอื่น ๆ ได้ทั้งหมด เช่น ความสะดวกสบายในการนั่งทำงาน การจัดห้องทำงานให้เปิดรับแสงธรรมชาติมากขึ้นระหว่างวัน การบริหารทรัพยากรและอุปกรณ์ประกอบการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เราต้องการ ส่วนจะ Green ได้แค่ไหน ก็อยู่ที่ความพยายามของแต่ละคน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เราอยู่บ้านมากขึ้น อาจทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นได้ ยิ่งสภาพอากาศร้อน ๆ แบบบ้านเราเราก็อาจต้องเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้ทั้งวัน ก็ต้องยอมรับว่าค่าไฟก็อาจเป็นต้นทุนหนึ่งที่เราต้องแบกรับ แต่อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า การ Work from Home มีข้อดีคือการที่เราสามารถบริหารทุกปัจจัยในบ้านของเราได้ ปัญหานั้นจะหมดไปถ้าเราปรับเวลาการเปิด-ปิดอุปกรณ์ตามความเหมาะสม เช่น อาจปิดแอร์บ้าง หรือเปลี่ยนมาใช้พัดลมบ้างหากไม่ร้อนจนเกินไป นอกจากนี้คอยตรวจสอบอยู่เสมอว่า มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดบ้างที่เราเสียบปลั๊กทิ้งไว้แล้วไม่ได้ใช้ ก็ให้ดึงปลั๊กออก สำหรับอุปกรณ์สำคัญอย่างคอมพิวเตอร์ หากคุณไม่ได้ใช้เครื่องแบบตั้งโต๊ะ แต่เป็นเครื่อง Laptop อาจเลือกชาร์จจนเต็ม แล้วใช้แบตเตอร์รี่จนใกล้หมดค่อยชาร์จใหม่ การเสียบปลั๊กอุปกรณ์การทำงานอย่างคอมพิวเตอร์ Laptop ไว้ตลอดเวลานอกจากจะเปลืองไฟแล้วยังอาจจะทำให้แบตเตอร์รี่เสื่อม หรือในทางกลับกันการปล่อยให้เครื่องแบตเตอร์รี่หมดบ่อย ๆ ก็อาจส่งผลให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้เช่นกัน (คุณควรเช็กดูว่าอุปกรณ์ของคุณเป็นแบบไหน เพราะคอมพิวเตอร์ที่มีแบตเตอร์รี่รุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น จะไม่ได้รับผลกระทบนี้) รวมถึงการลดแสงสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้สว่างเพียงพอ ไม่สว่างมากเกินไปจนเปลืองแบตเตอร์รี่จนต้องชาร์จบ่อย ๆ การใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถนอมนอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นแล้ว ยังลดโอกาสที่จะทำให้อุปกรณ์เสียหาย และกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
การประหยัดไฟฟ้าที่ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ยังมีอีกวิธี คือ การลดการใช้หลอดไฟส่องสว่างในช่วงเวลากลางวัน หากบ้านของคุณมีช่องแสง เช่น หน้าต่าง หรือ ประตูกระจก ก็ลองหาวิธีจัดที่ทำงานให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมกับแสงที่ผ่านเข้ามาภายในห้อง การเปิดรับแสงธรรมชาติจากห้องทำงานจะช่วยประหยัดไฟฟ้าเพราะไม่ต้องเปิดหลอดไฟหลายดวงจนเกินไป แต่ก็อย่าให้มืดเกินไปจนส่งผลเสียต่อสายตาของคุณเอง
รูปแบบการทำงาน Work from Home ที่มีประสิทธิภาพ มักจะมากับความพร้อมด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ หรือ แอปพลิเคชันบนมือถือ ที่ทั้งสะดวก ประหยัดเวลา และสามารถจัดการได้ง่ายอย่างเหลือเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงจากทำงานด้วยเอกสารไปสู่การทำงานแบบดิจิทัลให้มากขึ้นยังช่วยลดการใช้กระดาษได้อีกด้วย รู้ไหมว่าคนไทยทั้งประเทศใช้กระดาษเฉลี่ยปีละประมาณ 3.9 ล้านตัน หรือ คนละประมาณ 60 กิโลกรัมต่อปี คิดเป็นการตัดต้นไม้ 66.3 ล้านต้นต่อปี ถ้ายังนึกไม่ออกว่าการใช้กระดาษโดยไม่คิดจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ลองคิดดูว่า กว่าจะได้กระดาษ 1 ตัน ต้องใช้ต้นไม้ 17 ต้น ใช้กระแสไฟฟ้า 4,100 กิโลวัตติ์ต่อชั่วโมง ใช้น้ำ 31,500 ลิตร รวมถึงกระบวนการใช้สารเคมีเพื่อฟอกกระดาษให้เป็นสีขาว จะทำให้เกิดเป็นของเสียอีก 7 กิโลกรัม เห็นไหมว่าการใช้กระดาษธรรมดา ๆ แค่นี้ก็ทำร้ายโลกของเรามากพออยู่แล้ว
หากคุณเคยชินกับการจดงาน หรือไอเดียสำคัญบนลงกระดาษเป็นแผ่น ๆ และลืมทุกครั้งว่าจดอะไรไว้ที่ไหนบ้าง ถึงเวลาที่คุณอาจจะต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นการพิมพ์ในโทรศัพท์มือถือ หรือ แท็บเล็ต เพราะจะจดเยอะแค่ไหนก็ไม่รก และไม่เปลืองกระดาษ ยิ่งถ้าอุปกรณ์ของคุณรองรับการใช้งานปากกาดิจิทัลด้วยแล้ว ความสะดวกสบายในการใช้งานและการเข้าถึงบันทึกข้อความสำคัญที่คุณจดไว้ อาจจะทำให้คุณลืมการใช้กระดาษจริงไปเลยก็ได้
หากคุณเป็นคนที่ติดการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะการซื้อกาแฟที่เป็นแก้วพลาสติก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแม้จะรีไซเคิลได้ แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าขยะพลาสติกเหล่านั้นจะได้รับการจัดการที่ดี ก็อาจจะตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการซื้อกาแฟสำเร็จรูปซองใหญ่แบ่งใส่โหลไว้ แล้วมาชงใส่แก้วเซรามิกใบโปรด หรือจะขยันตื่นเช้า ๆ มานั่งละเลียดจิบกาแฟที่ดริปเองก็ได้เหมือนกัน ในขณะเดียวกัน ในยุคนี้ที่การสั่งอาหารเดลิเวอรี่ทำได้อย่างง่ายได้ ยิ่งคุณสั่งอาหารได้สะดวกมากเท่าไร ขยะถุงพลาสติกหรือกล่องพลาสติกที่ตามมาก็ยิ่งมากเท่านั้น เราไม่ได้ห้ามให้คุณใช้บริการพี่ ๆ ไรเดอร์หรอก แต่ถ้ามีเวลาและมีความพร้อม ควรวางแผนเตรียมอาหารล่วงหน้ารายสัปดาห์ เมื่อถึงเวลาปรุงอาหารก็คำนวณปริมาณให้พอดีกับการบริโภคในแต่ละวัน หากรับประทานเหลือก็เก็บในภาชนะที่ใช้ซ้ำและอุ่นได้ง่าย พักเที่ยงเมื่อไหร่ก็รับประทานได้สะดวก มีเวลาพักผ่อนเต็มที่ ก่อนลุยงานต่อในช่วงบ่าย
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน
ที่มา:
which.co.uk
greenmatch.co.uk
greennews.agency
techrepublic.com
blog.adobe.com
