JobThai Mobile Application หางานง่าย ได้งานที่ใช่ โหลดเลย!
|
|
เพราะการเข้ามาอย่างคาดไม่ถึงของ COVID-19 ทำให้คนทำงานหลายคนได้ปรับรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานแบบ Work from Home กันมาสักพักแล้วแล้ว ปัญหาหนึ่งที่ตามมาคือ “ทำงานเกินเวลา” ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ควรเป็นเวลากลับบ้าน หรือเวลากินข้าวเย็นกับเพื่อนหลังเลิกงานแล้ว ถ้ายังทำงานที่ออฟฟิศแบบปกติอยู่ ซึ่งทำให้ชีวิตการทำงานแบบ Work-Life Balance ของเราหายไป หรือจริง ๆ การ Work-Life Balance มันอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุดในการทำงานในยุคปัจจุบันไปแล้ว
วันนี้ JobThai เลยอยากมาแนะนำแนวคิดการทำงานที่ชื่อว่า Work-Life Integration การทำงานที่ไหน ทำเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นเหมือนการผสมชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้เข้าด้วยกัน
ชีวิตแบบไหนถึงเรียกว่า Work-Life Integration
ทำให้งานกับชีวิตเข้ากันได้เป็นอย่างดี
Work-Life Balance เป็นแนวคิดที่อยากให้คนทำงานหาจุดกึ่งกลางระหว่างชีวิตวัยทำงานและชีวิตส่วนตัว เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 6 โมงเย็นทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ แล้วเวลาที่เหลือก็เอาไปทำเรื่องอื่น ๆ ที่เราสนใจ แต่ในปัจจุบันด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้คนทำงานต้องหันมา Work from Home การทำงานแบบ Work-Life Balance อาจกลายเป็นแนวคิดที่ต้องได้รับการปรับเปลี่ยนเช่นกัน
Randstad บริษัท HR ในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ทำวิจัยออกมาว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นมันโบราณไปแล้ว คนทำงานมากกว่า 42% รู้สึกว่าการเช็กอีเมลระหว่างพักร้อนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำ 44% เชื่อว่าพวกเขาควรมีสิทธิ์ที่จะได้กำหนดตารางการทำงานเอง และมากกว่า 50% เลยที่มองว่าการต้องมาเข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น เป็น Culture ที่ Out ไปแล้ว เพราะโลกธุรกิจนั้นไม่หยุดนิ่ง แถมเทคโนโลยีในยุคนี้ยังทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นทุกที่ ทุกเวลาอีกด้วย
เน้นที่ผลงาน ไม่ใช่ชั่วโมงทำงาน
แนวคิดแบบ Work-Life Integration อีกอย่างอาจเป็นการทำงานแบบที่คนทำงานในปัจจุบันมองหา เพราะเราไม่อยากวัดค่าคนทำงานกันที่ใครมาเข้างานไวกว่าหรือใครเลิกงานดึกกว่า แต่วัดค่าจากประสิทธิภาพของผลงานจริง ๆ ช่วงก่อนที่ COVID-19 จะระบาดจนบังคับให้หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีทำการ มีหลายบริษัทเลยที่นำร่องวิธีการทำงานแบบ Flexible Hours หรือให้พนักงานเลือกเวลาทำงานได้เอง ไม่ใช่แค่ไม่บังคับเรื่องเวลาทำงานเท่านั้น หลายบริษัท โดยเฉพาะกลุ่ม Startup ทั้งหลายยังมีนโยบาย Remote Working หรือการให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ด้วย โดยติดต่อสื่อสารหรือส่งงานกันผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น Online Task Board, Cloud หรือ Google Drives
ได้เลือกทำสิ่งที่มีคุณค่ากับตัวเองและคนอื่น
แนวคิดนี้คือการเอางานกับชีวิตมาผสมกันให้ลงตัว ซึ่งเราก็ต้องยอมรับด้วยว่างานอาจจะเข้ามาได้ทุกเวลา และเราคงจะมีความสุขกับการทำงานแบบ Work-Life Integration ไม่ได้เลยถ้างานที่เราทำไม่สอดคล้องหรือไปด้วยกันได้กับจุดแข็ง ทักษะความสามารถ และความชอบของเรา
UC Berkeley's Haas ได้ทำการศึกษา และพบสิ่งที่เรียกว่าความสุขแบบ 4 ทิศทางของชีวิตที่เราต้องคำนึง คือ อาชีพการงาน ครอบครัว ความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดี และการตอบแทนสิ่งเหล่านั้นคืนให้สังคม ถ้าเราได้ทำงานที่มีคุณค่าและมีความหมาย จะทำให้เราไม่ต้องนั่งทนทำงานที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิต แต่จะช่วยให้เราได้สร้างคุณค่าในชีวิตในแบบของเราจริง ๆ
ซึ่งหลายบริษัทก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทำงานแบบนี้จนให้สวัสดิการที่สนับสนุนพนักงานในเรื่อง Work-Life Integration เหมือนกัน มาดูกันต่อว่า สวัสดิการแบบไหนที่ใช่ Work-Life Integration บ้าง
Flexible Hours: จะเข้าเช้า เข้าสาย จัดเองได้ตามใจ
สังเกตตัวเองกันไหมว่าเป็นคนที่ทำงานได้ดีในช่วงเวลาไหน? เพราะคนทำงานแต่ละคนก็มีเวลาที่ตัวเองชอบทำงานและคิดว่าตัวเองทำงานได้ดีในเวลานั้น ๆ พวก Early Bird ที่สมองจะปลอดโปร่งทำงานได้ดีในช่วงเช้า หรือ Night Owl ที่กว่าเครื่องจะติดก็ปาเข้าไปตอนบ่ายแล้ว แต่ก็ทำงานนั้นได้ไปจนถึงดึกดื่นเพราะสมองแล่นมากกว่า
หลายบริษัทจึงเปลี่ยนจากการให้พนักงานเข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น มาเป็นการให้พวกเขาจัดการชั่วโมงการทำงานได้เองมากขึ้น เพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และรูปแบบการทำงานของแต่ละคน
Remote Working: ไม่เข้าออฟฟิศก็ไม่เป็นไร มีงานดี ๆ ส่งเป็นใช้ได้
Remote Working หรือการ Work from Anywhere เป็นการทำงานที่เข้ากับโลกในปัจจุบันมาก ๆ เพราะบางครั้งคนทำงานก็ไม่ได้ต้องการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมง ภาพของคนนั่งทำงานอยู่ในร้านกาแฟที่เราเห็นกันจนชินตา น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีว่าทุกวันนี้ออฟฟิศอาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดอีกต่อไปในการทำงาน เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้เราสามารถทำงานจากมุมไหนของโลกก็ได้ขอแค่มีอินเตอร์เน็ต ถ้าอยากประชุม ก็แค่ใช้ Video Conference หรือถ้าอยากจะส่งงานก็สามารถโยนลงไปที่ Cloud Server หรือส่งผ่านอีเมลเพียงเท่านั้น เมื่อการการแพร่ระบาดของ COVID-19 วิธีการทำงานแบบนี้ จึงตอบโจทย์การทำงานที่ต้องการลดการมีปฎิสัมพันธ์กันในออฟฟิศเป็นอย่างมาก
Customizable Perks: ชอบสวัสดิการแบบไหน เลือกเอาได้เลย
สวัสดิการเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คนหางานจะใช้เพื่อตัดสินใจตอบรับเข้าทำงาน แล้วจะเป็นยังไงหากองค์กรในปัจจุบันให้สิทธิพนักงานของพวกเขาในการเลือกสวัสดิการได้เอง เพราะเมื่อมีคนทำงานมากมายมารวมกันอยู่ในองค์กรหนึ่ง จะให้ทุกคนถูกใจกับสวัสดิการทุกอย่างที่บริษัทจัดให้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งอายุ เพศ งานอดิเรก หรือความชอบของก็ทำให้พวกเขามีสิ่งที่ต้องการแตกต่างกัน คนที่ชอบดนตรีและความบันเทิงอาจต้องการส่วนลดคอนเสิร์ตและตั๋วหนัง บางคนอยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารการกิน บางคนอยากได้ Member Fitness ลดราคา หรือบางคนขอวันลาพักร้อนที่มากกว่าคนอื่น เพราะชอบไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ ๆ การให้ความสำคัญกับความหลากหลายและแตกต่าง โดยให้พนักงานมีส่วนในการเลือกสวัสดิการด้วยตัวเอง นอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจแล้ว ยังช่วยรักษาพนักงานที่มีศักยภาพไว้ได้อีกด้วย
Invest in Training: อยากเรียนรู้เรื่องอะไร บริษัทสนับสนุนให้เต็มที่
เมื่อโลกในปัจจุบันไม่เคยหยุดหมุน และหมุนเร็วขึ้นทุกวัน การได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนทำงานยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในหลายองค์กร คนกลุ่มนี้คิดว่าถ้าบริษัทสนับสนุนการเติบโตไม่ว่าจะเป็น ให้หัวหน้าระดับ Seniorมา Coaching หรือออกค่าอบรมที่เกี่ยวข้องกับงานจะช่วยให้คนทำงานสามารถเติบโตไปพร้อมกับบริษัทได้
เมื่อ COVID-19 เข้ามาก็แทบจะบังคับให้คนทำงานหลายคนที่บริษัท และอาชีพเอื้อให้ทำงานแบบ Work from Anywhere ได้มีโอกาสทดลองใช้แนวคิดการทำงานแบบ Work-Life Integration กันมาบ้างแล้ว ในช่วงแรกอาจต้องปรับตัวกันสักพัก เพราะเราก็ต้องยอมรับว่าการทำงานที่บ้านอาจไม่ใช่เรื่องที่คนทำงานบางส่วนจะพร้อมและสามารถปรับตัวได้ แต่แนวคิดนี้จะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะหมดลงไปแล้ว เพราะมันได้พิสูจน์แล้วว่ารูปแบบของการทำงานและธุรกิจที่เคลื่อนตัวเร็วขึ้นทุกวัน มีปัจจัยที่ทุกคนอาจคาดไม่ถึงมาพลิกเกมได้ตลอดซึ่งจะทำให้การแยกงานกับชีวิตออกจากกันจะกลายเป็นเรื่องล้าหลังไปแล้ว
|
|
JobThai Official Group |
Public group · 102,000 members |
|
|
|