การได้เรียนในสิ่งที่เราชอบและถนัดแล้วได้นำความรู้ที่เรียนเหล่านั้นมาประกอบอาชีพ คงจะเป็นความฝันของคนทำงานแทบทุกคนใช่ไหมคะ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ได้อยากทำงานในสายเดียวกับที่เรียนมา บางคนอาจจะรู้ตัวเองช้า หรือบางคนอาจจะต้องเรียนเพราะมีสถานการณ์บังคับ

ตัวพี่เองก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่กว่าจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยากทำงานในสายที่เรียนมาก็ตอนที่ใกล้จะเรียนจบแล้ว เพราะตอนเรียนพี่ได้ฝึกงานที่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพี่เรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เขาก็ให้พี่เขียนโปรแกรมที่ใช้สำหรับมอนิเตอร์หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายผิดปกติ พี่ใช้เวลาตลอด 10 อาทิตย์ที่ฝึกงานไปกับการเขียนโปรแกรมนั้น มันจึงทำให้รู้ว่าที่จริงแล้วพี่ไม่ได้ชอบงานนี้ เพราะตอนที่เรียนเราไม่ได้ต้องอยู่กับหน้าจอแล้วเขียนโปรแกรมทั้งวันแบบนี้ พี่รู้สึกว่าถ้าจะต้องทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ไปตลอด เราคงไม่มีความสุข และสุดท้ายแล้วพี่ก็ไม่ได้ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์จริง ๆ

ซึ่งประเด็นเรื่องของการสมัครงานไม่ตรงกับสายที่เรียนมาเนี่ย ก็เคยมีน้อง ๆ นักศึกษามาถามพี่เหมือนกันนะคะว่า ไม่ได้อยากจะทำงานในสายที่กำลังเรียนอยู่ แต่ก็กังวลว่าถ้าไปสมัครงานในสายที่ไม่ได้เรียนมา แล้วจะสู้กับคนที่จบมาตรงสายได้ยังไง มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เราน่าสนใจแม้จะจบไม่ตรงสาย

นำเสนอตัวเองให้เขาเห็นว่าแม้จะจบไม่ตรงสาย

แต่เราก็เป็นผู้สมัครที่มีความสามารถในด้านนี้เช่นกัน...

อธิบายให้เขาฟังได้ว่าเรามีความรู้และมีประสบการณ์

ที่เกี่ยวข้องในสายงานที่สมัครนั้นอย่างไร

พี่มองว่าสิ่งสำคัญคือ เราจะต้องนำเสนอตัวเองให้เขาเห็นว่าแม้จะจบไม่ตรงสาย แต่เราก็เป็นผู้สมัครที่มีความสามารถในด้านนี้เช่นกัน เราต้องเล่าเรื่องและอธิบายให้เขาฟังได้ว่าเรามีความรู้และมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องในสายงานที่สมัครนั้นอย่างไร

ซึ่งการที่ความรู้และประสบการณ์ของเราจะเกิดขึ้นได้ การอ่านหนังสือ ค้นคว้า เรียนรู้ด้วยตัวเองต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อมีความรู้จากการค้นคว้าด้วยตัวเองแล้ว ก็ควรหาคอร์สลงเรียนเพิ่มเติม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น จากนั้นก็หาช่องทางที่เราจะได้ลงมือทำจริง เช่น เรารู้ตัวตั้งแต่ตอนเรียนว่าจริง ๆ แล้วเราอยากทำอะไร เราก็ต้องหาช่องทางที่จะได้ไปทำงานตรงนั้นจริง ๆ โดยอาจจะไปฝึกงานด้านนั้น ไปช่วยคนอื่นทำงาน หรือไปทำโปรเจกต์พิเศษอะไรบางอย่าง

เล่าให้ผู้สัมภาษณ์ฟังถึงความพยายามของเรา

ในการหาความรู้ในสายนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน...

เอาผลงานที่เราทำมาแสดงด้วย

มันจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและทำให้เราดูน่าสนใจมากขึ้น

เมื่อเราผ่านด่านต่าง ๆ จนถูกเรียกสัมภาษณ์งานแล้ว ในขณะสัมภาษณ์เราก็ต้องเล่าให้ผู้สัมภาษณ์ฟังถึงความพยายามของเราในการหาความรู้ในสายนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่การศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง ไปจนถึงการลงมือทำในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานนั้น อธิบายให้เขาเห็นว่าเราทำอะไร ยังไงบ้าง และที่สำคัญเอาผลงานที่เราทำมาแสดงด้วย มันจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและทำให้เราดูน่าสนใจมากขึ้น เช่น ถ้าเราอยากทำด้านการเขียนโปรแกรม โดยที่ไม่ได้จบสายนี้มา แต่เราเคยทำแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือเขียนโปรแกรมอะไรมาก่อน เราก็เอามาโชว์ให้เขาดู

อย่างตัวพี่เองหลังเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ พี่มีโอกาสได้ไปสมัครงานบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์รายแรก ๆ ของประเทศไทย ในตำแหน่งที่จะต้องดูแลเกี่ยวกับ E-commerce โดยสมัยนั้น E-commerce เป็นเรื่องใหม่มากในประเทศไทย แต่ที่ต่างประเทศก็จะมีเว็บไซต์ใหญ่ ๆ มีการกำเนิด Yahoo เริ่มมี Amazon.com และ eBay แล้ว ซึ่งจริง ๆ พี่ก็จบมาไม่ตรงสายนะ และมันก็ไม่มีใครที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง แต่พี่เคยเอาของไปประมูล ไปขายบนเว็บไซต์เหล่านั้นมาก่อน ประกอบกับตอนที่ไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา พี่ก็ได้เปลี่ยนสายจากวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ไปเรียนทางด้าน Management of Technology ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ดอทคอมมันเริ่มบูม ก็เลยทำให้พี่ได้เรียนรู้ในเรื่องนั้นมาด้วย พี่ก็เลยเอาความชอบ ความรู้ในเรื่องดอทคอม และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พี่ได้เห็นได้ทำมาเล่าเพื่อโน้มน้าวให้เขาสนใจและรับพี่เข้าทำงานในที่สุด

คนที่สมัครงานไม่ตรงกับสายที่เรียนมาอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยในการพิสูจน์ตัวเอง

แต่ถ้าเราตั้งใจที่จะศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่แล้วล่ะก็

โอกาสก็ต้องเป็นของเราในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน

คนที่สมัครงานไม่ตรงกับสายที่เรียนมาอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยในการพิสูจน์ตัวเอง แต่ถ้าเราตั้งใจที่จะศึกษาหาความรู้อย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ โอกาสก็ต้องเป็นของเราในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอนค่ะ และเมื่อถึงเวลาที่จังหวะและโอกาสมาถึงเราแล้ว เราก็ต้องอย่าลืมที่จะแสดงความสามารถและความตั้งใจของเราออกไปอย่างมั่นใจให้เขาได้เห็นด้วยนะคะ

JobThai มี Line  แล้วนะคะ

ติดตามสาระความรู้สำหรับคนทำงานที่ย่อยง่าย อ่านสนุก และพูดคุยทุกแง่มุมเกี่ยวกับการทำงานอย่างใกล้ชิด