5 วิธีการลงทุนที่สำคัญ พร้อมสิ่งที่ต้องวางแผนสำหรับ First Jobber

 

 

ในยุคนี้ “ความมั่นคงทางการเงิน” ถือเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนมองหา ไม่ใช่แค่คนที่มีอายุ หรือคนที่ทำงานมานานแล้วเท่านั้น แต่ตอนนี้แม้แต่ First Jobber หรือคนที่เพิ่งเรียนจบ เพิ่งเข้าสู่วัยทำงานเองก็เริ่มวางแผนเกี่ยวกับการลงทุนกันแล้ว และหากคุณเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เริ่มสนใจเกี่ยวกับการลงทุน อยากเพิ่มความมั่นคงทางการเงิน วันนี้ JobThai มีเทคนิคลงทุนที่เอาไปปรับใช้ได้มาฝาก

 

JobThai Mobile Application สมัครงานง่าย ได้งานเร็ว

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

เรื่องสำคัญที่ควรวางแผนให้พร้อมก่อนลงทุน

ก่อนจะไปดูในเรื่องของการลงทุน เราอยากให้คุณผู้อ่านทำความเข้าใจก่อนว่าการลงทุนมีแบบไหนบ้าง เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับการลงทุน นอกจากนี้คุณยังสามารถดูบทความ วิธีออมเงิน เพื่อนำเอาไปใช้ลงทุน ทำอย่างไรให้มีเงินมาลงทุน โดยที่ไม่กระทบกับเงินใช้ในชีวิตประจำวัน

 

1. การลงทุนระยะสั้น กลาง และยาว

สิ่งที่ First Jobber ต้องรู้ก่อนลือกลงทุน คือ การลงทุนแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ การลงทุนระยะสั้น การลงทุนระยะกลาง และการลงทุนระยะยาว

  • การลงทุนระยะสั้น: เป็นการลงทุนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว เช่น การลงทุนเพื่อนำเงินไปใช้สำหรับการท่องเที่ยว หรือเพื่อเก็บเงินไว้ใช้สำหรับการดาวน์รถยนต์ การลงทุนรูปแบบนี้เป็นการจัดพอร์ตลงทุนให้อยู่ในช่วงระยะเวลา 1 - 3 ปี
  • การลงทุนระยะกลาง: เป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิต หรือเป็นการลงทุนเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีมากขึ้น เช่น การซื้อบ้านเดี่ยว การลงทุนรูปแบบนี้เป็นการจัดพอร์ตลงทุนให้อยู่ในช่วงระยะเวลา 3 - 7 ปี
  • การลงทุนระยะยาว: เป็นการลงทุนเพื่อวางแผนเกษียณโดยระยะเวลาที่เหมาะสมกับการลงทุน ขึ้นอยู่กับความต้องการเกษียณของแต่ละคน เช่น ปัจจุบันมีอายุ 30 ปี หากต้องการเกษียณตอนอายุ 50 ปี เท่ากับว่ามีเวลาเก็บเงินและลงทุนอยู่ที่ 20 ปี

 

2. สินทรัพย์ลงทุนมีอะไรบ้างที่นิยม

สินทรัพย์เพื่อการลงทุนมีหลายประเภท สำหรับ First Jobber ที่กำลังสนใจเรื่องของการลงทุน นี่เป็นข้อมูลเพิ่มเติมของสินทรัพย์ลงทุนที่เราอยากให้คุณทำความรู้จักเอาไว้เบื้องต้น

  • เงินฝากที่ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ ได้แก่ เงินฝากประจำที่มีค่าตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.30 - 1.20% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ฝาก) และเงินฝากดิจิทัลที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.10 - 2.00% ต่อปี เงินฝากทั้ง 2 ประเภทมีรอบการจ่ายดอกเบี้ยรายเดือน หรือเมื่อครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยตามสัญญา เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยง
  • ตราสารหนี้ภาครัฐบาล เป็นเอกสารที่ออกโดยกระทรวงการคลังหรือหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการกู้ยืมเงินจากนักลงทุน มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.40 - 2.00% ต่อปี เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้เล็กน้อย
  • ตราสารทุน (หุ้น) ตราสารที่กิจการออกให้แก่ผู้ถือ โดยผู้ถือตราสารทุนจะมีฐานะเป็น “เจ้าของกิจการ” และมีส่วนได้ส่วนเสีย หรือมีสิทธิ์ในทรัพย์สิน รวมถึงรายได้ของกิจการ ผู้ถือจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผล หรือจะเลือกเป็นหุ้นก็ได้ สามารถซื้อ-ขาย เปลี่ยนมือได้ในตลาดหลักทรัพย์ มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 8 - 12% ต่อปี เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงสูงได้
  • ทองคำ เป็นการลงทุนกับสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สามารถลงทุนได้หลายรูปแบบ เช่น ทองคำแท่งและตั๋วสัญญา มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4 - 5% ต่อปี เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
  • อสังหาริมทรัพย์ เป็นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่าง ๆ เช่น ซื้อมาเพื่อขายต่อทำกำไร ให้เช่า รีโนเวตเพื่อขายทำกำไร รวมถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ผลตอบแทนจะมาในรูปแบบค่าเช่า และส่วนต่างราคา สำหรับกองทุนจะมาในรูปแบบเงินปันผล เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
     

3. การรับปันผล และไม่รับปันผล

สำหรับคนที่สนใจการลงทุนในกองทุนรวมหรือหุ้น การเลือกประเภทกองทุนรวมและหุ้นที่ตอบโจทย์ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากกองทุนรวมและหุ้นมีทั้งแบบปันผลและแบบไม่จ่ายปันผล ซึ่งทั้ง 2 แบบล้วนมีข้อดีและข้อควรระวังที่แตกต่างกัน

 

กองทุนรวมหรือหุ้นแบบปันผล

คือกองทุนหรือหุ้นที่มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับนักลงทุนที่มาร่วมลงทุนในกองทุนหรือหุ้นนั้น ๆ โดยเงินปันผลที่ได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลงทุน รวมถึงผลประกอบการของกองทุนหรือหุ้น ในส่วนของความถี่ของการจ่ายปันผลก็ขึ้นอยู่กับประเภทและนโยบายของกองทุนและหุ้นที่เลือกลงทุน

ข้อดี: สร้างผลตอบแทนประจำได้ ทำให้มีกระแสเงินสดไปใช้จ่ายหรือนำไปต่อยอดลงทุนทางอื่นได้

ข้อควรระวัง: เมื่อมีการจ่ายปันผลเรียบร้อยแล้ว มูลค่าหน่วยการลงทุนอาจลดลงได้เช่นกัน

 

กองทุนรวมหรือหุ้นแบบไม่จ่ายปันผล

คือกองทุนหรือหุ้นที่ไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับนักลงทุน แต่จะนำเอากำไรที่ได้ไปลงทุนต่อ ทำให้มูลค่าการลงทุนมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นกว่ากองทุนหรือหุ้นอีกรูปแบบ

ข้อดี: ไม่เสียเวลาในการนำกำไรกลับไปลงทุนเอง เนื่องจากกำไรที่ได้จะถูกเอาไปลงทุนต่อ ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เรื่อย ๆ แบบอัตโนมัติ

ข้อควรระวัง: ไม่มีกระแสเงินสดให้นักลงทุนนำเอามาใช้หมุนเวียน

 

4. การลงทุนแบบ Active กับ Passive

ก่อนลงทุนในกองทุนรวม ต้องรู้ก่อนว่าผู้จัดการกองทุนมีแนวทางกลยุทธ์อย่างไร โดยกลยุทธ์ของผู้จัดการกองทุนจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ Active และ Passive ต่างกันดังนี้

 

การลงทุนแบบ Active: คือการลงทุนในรูปแบบการบริหารเชิงรุก โดยมีเป้าหมายให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง ซึ่งการลงทุนรูปแบบ Active เหมาะกับนักลงทุน ที่มั่นใจว่าตัวเองมีผู้จัดการกองทุนที่เก่ง และบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี สามารถชนตลาดได้ในระยะยาว

 

การลงทุนแบบ Passive: คือการลงทุนเพื่อการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหุ้นมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เช่น SET, SET100, SET50 และ SETHD เป็นต้น การลงทุนแบบนี้ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เมื่อเทียบกับบรรดาการลงทุนรูปแบบอื่น ทำให้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดระยะยาว หรือนักลงทุนที่ไม่พร้อมรับความเสี่ยงสูง

 

คนทำงานควรรู้จักตัวเองให้ดี ก่อนเริ่มลงทุน

 

 

5 เทคนิคลงทุนสำหรับวัยเริ่มต้นทำงาน First Jobber

เมื่อรู้แล้วว่าการลงทุนแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ขั้นต่อไปมาดูเทคนิคการลงทุนที่เหมาะกับ First Jobber กันบ้าง โดยเราได้นำเทคนิคลงทุนที่น่าสนใจมาฝาก คุณผู้อ่านสามารถนำเอาไปปรับใช้ตามสไตล์ของตัวเองได้เลย

 

1. วางเป้าหมายในการลงทุน

เทคนิคแรกคือการวางเป้าหมายในการลงทุน คุณต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายในการลงทุนของคุณคืออะไร ต้องการลงทุนไปเพื่ออะไร ต้องเริ่มใช้เงินทุนเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่คาดหวังมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เห็นเป้าหมายในการลงทุนชัดเจนมากขึ้น

 

2. ศึกษาหาแผนลงทุนที่ยืดหยุ่น

การลงทุนที่ยืดหยุ่นสามารถทำได้ด้วยการกระจายสินทรัพย์ อย่างเช่นการมีสินทรัพย์ที่เป็น Safe Zone ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเก็บเอาไว้ในพอร์ตระยะยาว และสร้างสินทรัพย์ในพอร์ตให้มีความหลากหลาย ไม่เน้นเจาะจงไปที่สินทรัพย์ประเภทใดประเภทเดียว เพราะข้อดีของการใช้แผนลงทุนนี้ มีส่วนช่วยให้คุณสร้างผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอได้ในทุกสถานการณ์ ลดความเสี่ยงจากการผันผวน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ขาดทุน คุณจะยังมีกำไรที่ได้จากการลงทุนอื่น ๆ มาเฉลี่ยกันด้วย

 

3. แบ่งเงินออมไว้ลงทุนตามสัดส่วน

เทคนิคที่นักลงทุนหลายท่านชอบใช้ คือการแบ่งเงินออมไว้ลงทุนตามสัดส่วน เนื่องจากการลงทุนนอกจากกำไรแล้ว ก็ยังมีเรื่องของการขาดทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง หากลงทุนด้วยเงินออมที่แบ่งเอาไว้แทนการลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มี ความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่องทางการเงินก็จะลดลง และยังมีเงินเก็บส่วนอื่น ๆ เอาไว้สำรองยามฉุกเฉินด้วย

 

4. เลือกสินทรัพย์ที่ถนัดเพื่อลงทุน

เทคนิคลงทุนต่อมา คือการเลือกสินทรัพย์ที่ถนัดเพื่อการลงทุน ถึงแม้ในบทความนี้จะกล่าวถึงการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมเป็นส่วนใหญ่ แต่รูปแบบการลงทุนในปัจจุบันก็มีอีกหลายรูปแบบ เช่น การลงทุนทอง การลงทุนตราสารหนี้  หรือการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ หากเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ถนัด คุณจะได้เปรียบในเรื่องของความเข้าใจ ช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้มาก

 

5. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

การลงทุนอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะช่วยสร้างวินัยในการออม และสร้างวินัยในการลงทุนได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยในเรื่องการลดความผันผวนราคา ทำให้ต้นทุนของการลงทุนนั้นเฉลี่ยแล้วต่ำกว่าการลงทุนเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตามหลักของการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน

 

 

เป็นอย่างไรบ้างกับ 5 เทคนิคลงทุนที่เราได้นำเอามาฝากเหล่า First Jobber ในวันนี้ อย่างไรก็ตามหากต้องการเริ่มลงทุน อย่าลืมสำรวจความพร้อมของตัวเองและหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนก่อน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่เริ่มสนใจเกี่ยวกับการลงทุนได้ไม่มากก็น้อย หากคุณอยากได้แนวทางเพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติม JobThai ยังมีอีกหลายบทความดี ๆ ให้เลือกอ่าน

หางานใหม่ที่ใช่ ได้เป็นตัวของคุณเอง ที่ JobThai สมัครสมาชิกและฝากประวัติที่นี่เลย

 

JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน

tags : jobthai, งาน, การเงิน, เทคนิคลงทุน, first jobber, career & tips, เคล็ดลับการทำงาน, คนทำงาน, เด็กจบใหม่, เทคนิคสำหรับคนทำงาน, เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ, เคล็ดลับความสำเร็จ, วางแผนการเงิน, เกษียณอายุ, ออมเงิน, การออมเงิน



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม