- Resume ควรจะมีความยาวไม่เกิน 1-2 หน้ากระดาษ เพื่อให้ HR เห็นได้ในทันทีว่าเรามีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของตำแหน่งที่ประกาศรับสมัคร
- ไม่ควรเขียนเนื้อหาในแต่ละหัวข้อยาวเกินไป ควรแบ่งเป็น List หรือ Bullet เป็นข้อ ๆ เพื่อให้ HR อ่านได้ง่าย
- นำเสนอข้อมูลของเราให้เห็นภาพชัด เช่น แยกหัวข้อย่อยให้คนอ่าน Resume เห็นทักษะนการทำงาน หรือ ใช้ข้อมูลสถิติ ตัวเลข หรือตัวชี้วัดต่าง ๆ มาสนับสนุนผลลัพธ์การทำงานของเราให้มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
- ภาษาที่ใช้เขียนบน Resume จะต้องเป็นภาษาที่สุภาพ เป็นทางการ และต้องทำให้เหมาะสม เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของเรา
- บุคคลอ้างอิงควรจะเป็นหัวหน้าจากที่ทำงานเดิม หรือถ้าเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ไม่เคยทำงาน อาจขอให้คนที่เคยดูแลตอนฝึกงาน หรืออาจารย์มาเป็นบุคคลอ้างอิงให้
- กรณีที่ต้องระบุเงินเดือน ควรเขียนเงินเดือนในลักษณะที่ยืดหยุ่นได้ เช่น xx,000 – xx,000 บาท
- รูปถ่ายที่แนบไปกับ Resume ควรจะเป็นรูปถ่ายที่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่งกายสุภาพ และพื้นหลังสีพื้น
|
|
การออกแบบ Resume ให้มีสีสันสดใส ดีไซน์ไม่ซ้ำใคร หรือใช้ Template สวยงามอาจทำให้ Resume ของเราดูโดดเด่นในสายตาของบริษัท แต่เนื้อหาของข้อมูลประวัติการทำงานที่น่าสนใจและตรงกับที่บริษัทกำลังหาอยู่ต่างหากที่สำคัญกว่าและทำให้ HR ตัดสินใจเรียกสัมภาษณ์ วันนี้ JobThai เลยมีเทคนิคดี ๆ ในการเขียนเนื้อหา Resume มาฝากทั้งคนที่กำลังจะเปลี่ยนงานและเด็กจบใหม่ที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน
ปรับและจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาให้สอดคล้องกับประกาศรับสมัครงาน
Resume คือเอกสารชิ้นแรกที่จะทำให้บริษัทรู้จักตัวตนของเรา ด้วยพื้นที่ที่จำกัดเพียง 1-2 หน้ากระดาษ เราจึงต้องจัดลำดับว่าข้อมูลไหนที่สำคัญที่สุดและควรใส่อะไรลงไปบ้างเพื่อให้ HR หรือ คนที่อ่าน Resume เห็นได้ในทันทีว่าเรามีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของตำแหน่งที่ประกาศรับสมัครอยู่ โดยหัวข้อที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ทักษะการทำงาน ประสบการณ์ทำงานที่เคยทำมา และความสำเร็จในการทำงานที่มีตัวชี้วัดชัดเจน ทั้งนี้วิธีที่ดีที่สุดคือการอ่านประกาศงานให้ละเอียด สิ่งไหนที่บริษัทระบุว่าต้องการและจำเป็นสำหรับการทำงานในตำแหน่งงานนั้น ๆ ถ้าเรามีคุณสมบัติครบถ้วน ก็อย่าลืมระบุลงไปใน Resume และจัดวางไว้ในตำแหน่งด้านบน หรือหน้าแรกของ Resume ด้วย สิ่งไหนที่มีความสำคัญรองลงมาเช่น ประวัติการศึกษา การอบรม หรือ ประกาศนียบัตรต่าง ๆ สามารถจัดวางไว้ลำดับท้าย ๆ ได้
เขียนให้กระชับ อ่านเข้าใจได้ง่าย
ไม่ควรเขียนเนื้อหาในแต่ละหัวข้อยาวเกินไป ควรแบ่งเป็น List หรือ Bullet เป็นข้อ ๆ เพื่อให้ HR อ่านได้ง่าย เพราะในแต่ละวันจะมี Resume ส่งเข้ามาที่บริษัทเป็นจำนวนมาก ทำให้ HR ไม่สามารถอ่าน Resume ของแต่ละคนได้อย่างละเอียด แต่จะใช้วิธีอ่านเร็ว ๆ เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่สำคัญเท่านั้น ถ้าเราเขียนอธิบายสั้น ๆ แต่ได้ใจความชัดเจน โอกาสที่ HR จะสนใจอ่าน Resume ของเราจนจบก็จะเพิ่มมากขึ้น และเห็นภาพรวมประวัติการทำงานของเราได้อย่างครบถ้วน
ใช้ภาษาสุภาพ เรียบร้อยและเป็นทางการ
ภาษาวัยรุ่น ภาษาพูด ภาษา Chat กับเพื่อนทั้งหลาย เก็บไว้ค่อยใช้งานอื่น ภาษาที่ใช้เขียนบน Resumeจะต้องเป็นภาษาที่สุภาพ เป็นทางการ และต้องทำให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของแต่ละบริษัทนั้น ๆ พยายามอย่าใช้ตัวอักษรย่อต่าง ๆ มาเขียนลงใน Resume โดยไม่จำเป็น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจคำย่อเหล่านั้นและจะทำให้เราดูไม่เป็นมืออาชีพด้วย
ยกตัวอย่างออกมาให้ชัดเจน
หาวิธีในการนำเสนอข้อมูลของเราให้เห็นภาพชัด นึกตามได้ทันที เช่น ในหัวข้อทักษะการทำงาน แทนที่จะเขียนอธิบายทักษะเหล่านั้นแบบรวม ๆ ให้แยกหัวข้อย่อยออกมาเป็น Soft Skills และ Hard Skillsเพื่อให้คนอ่าน Resume เห็นว่า เรามีทักษะเทคนิคในการทำงานครบถ้วนไหม ใช้เครื่องมือหรือ Software ตัวไหนเป็นบ้าง ในขณะเดียวกัน HR ก็จะเห็นว่าเรามีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นดีแค่ไหน อีกวิธีหนึ่งก็คือ การใช้ข้อมูลสถิติ ตัวเลข หรือตัวชี้วัดต่าง ๆ มาสนับสนุนผลลัพธ์การทำงานของเรา ให้มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เช่น เพี่มยอดขายได้ 30%, ทำงานเสร็จเร็วกว่ากำหนด 1 เดือน, นำทีมที่มีสมาชิก 20 คน ตัวอย่างที่เราคัดมาแล้วว่าเราอยากให้บริษัทเห็นใน Resume ก็จะเป็นรูปธรรมและเห็นศักยภาพของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น
เลือกบุคคลอ้างอิงที่รู้จักการทำงานของเรา
ควรจะขอให้หัวหน้าที่บริษัทเก่า หรือสำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่เคยผ่านการฝึกงาน ก็ให้ขออนุญาตหัวหน้างานที่เคยไปฝึกงาน หรืออาจารย์ที่ปรึกษามาเป็นบุคคลอ้างอิงให้ และต้องแน่ใจว่าบุคคลที่เราจะนำมาอ้างอิงนั้นรู้จักเราเป็นอย่างดี และพูดถึงเราในเชิงบวกได้ การเลือกบุคคลอ้างอิงที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเราเป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นการยืนยันว่าเราเคยผ่านการทำงานมา รวมถึงมีความสามารถในการทำงานจริง ๆ
สิ่งที่สำคัญคือต้องขออนุญาตบุคคลอ้างอิงก่อนที่จะให้ข้อมูลติดต่อของพวกเขา และเมื่อบุคคลอ้างอิงอนุญาตแล้ว เราควรเตรียมรายละเอียดงานที่เราจะสมัครและ Resume ให้เขาด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าควรจะแนะนำหรือพูดถึงความสามารถของเราในทางไหน และอย่าลืมขอบคุณทุกครั้งไม่ว่าเราจะได้หรือไม่ได้งานก็ตาม
ระบุเงินเดือนในกรณีที่บริษัทแจ้งให้ระบุ
โดยทั่วไปบริษัทจะแจ้งเรื่องเงินเดือนในประกาศรับสมัครงานไว้ 2 แบบ คือ แบบตามโครงสร้างองค์กร และ แบบต่อรองได้ หากเป็นตามโครงสร้างองค์กร เราก็ไม่ต้องระบุเงินเดือนลงไป เพราะบริษัทมีการกำหนดอัตราเงินเดือนไว้แล้ว แต่หากเป็นแบบต่อรองได้ และมีการระบุว่าให้แจ้งเงินเดือนที่ต้องการด้วย เราก็ควรจะใส่เงินเดือนที่เหมาะสมกับตำแหน่งและความสามารถหรือประสบการณ์ของเรา โดยอาจจะใส่แบบยืดหยุ่น เช่น xx,000 – xx,000 บาท เป็นต้น และไม่ควรกำหนดให้กว้างเกินไป
รูปถ่ายที่แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ
ในกรณีที่บริษัทระบุมาว่าให้มีรูปถ่ายใน Resume ด้วย อย่าตกม้าตายเพียงเพราะใส่รูปที่ไม่เหมาะสม ใส่ชุดลำลอง หรือรูปที่ถ่ายเล่น ๆ แต่เอามาใช้สมัครงาน รูปที่เหมาะสมคือ รูปถ่ายหน้าตรง เห็นใบหน้าชัดเจน แต่งกายด้วยชุดสุภาพ หรือถ้าเป็นไปได้อาจเป็นชุดสูทหรือชุดที่ดูมีความเป็นทางการไว้ก่อน นอกจากนี้ฉากหลังควรเป็นสีพื้น ไม่มีลวดลาย ถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน และหากบริษัทกำหนดขนาดของรูป ก็ควรจะใช้รูปตามที่เขากำหนดด้วย เพราะการให้ความสำคัญกับรูปถ่ายก็เป็นการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและเป็นการสื่อสารให้บริษัทเห็นว่าใส่ใจและพร้อมร่วมงานกับบริษัท
ท้ายที่สุดแล้ว Resume ก็เปรียบเสมือนการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างผู้สมัครงานกับบริษัท แต่แทนที่จะเป็นการสนทนากันด้วยคำพูด เราต้องนำเสนอความสามารถในการทำงานของเราผ่านข้อความและตัวอักษรนั่นเอง ถ้าเราเขียน Resume ได้ดี ใส่ข้อมูลสำคัญได้ครบถ้วน น่าสนใจและตรงกับที่บริษัทกำลังตามหาอยู่ โอกาสที่เราจะถูกเรียกสัมภาษณ์ก็จะมีมากขึ้น
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน