ร่างกายของเรามักส่ง Feedback งานของระบบภายในออกมาเตือนเมื่อเราใช้ชีวิตหนักเกินไป แต่หลายครั้งสัญญาณเหล่านั้นกลับถูกมองข้าม โดยเฉพาะในวัยทำงานที่เต็มไปด้วยความเครียดและความท้าทาย การละเลยสุขภาพเพื่อมุ่งมั่นสร้างผลงานอาจนำไปสู่พฤติกรรมทำลายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจะรับฟังเสียงของร่างกาย และสร้าง Positive Feedback ให้กับสุขภาพด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ บทความนี้ JobThai จะพาไปดู 10 พฤติกรรมเสี่ยงทำลายสุขภาพที่คุณอาจทำโดยไม่รู้ตัว พร้อมสัญญาณเตือนและวิธีปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
วัยทำงานโดยทั่วไปหมายถึงกลุ่มคนในช่วงอายุประมาณ 20-60 ปี ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม แต่ด้วยภาระหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ทำให้วัยทำงานจำนวนมากต้องเผชิญกับความเครียด วิถีชีวิตที่เร่งรีบ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม และขาดการออกกำลังกาย ปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้คนวัยนี้มักมีปัญหาสุขภาพสะสมโดยไม่รู้ตัว เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย
พฤติกรรมสุขภาพ คือ การกระทำหรือการปฏิบัติของบุคคลที่มีผลต่อสุขภาพของตนเอง ทั้งในด้านการส่งเสริม ป้องกัน และบำรุงรักษาสุขภาพ รวมถึงพฤติกรรมที่อาจบั่นทอนหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย พฤติกรรมเหล่านี้ครอบคลุมหลายด้าน เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อน การจัดการความเครียด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจสุขภาพ การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองอย่างจริงจัง JobThai อยากพาทุกคนมาสำรวจกันว่า มีพฤติกรรมทำลายสุขภาพเหล่านี้แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของเราบ้างหรือเปล่า เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที
1. อดอาหารเช้า หรือทานอาหารไม่ตรงเวลา
การอดอาหารเช้าหรือทานอาหารไม่ตรงเวลาเป็นประจำ เป็นพฤติกรรมทำลายสุขภาพที่ส่งผลเสียมากกว่าที่คิด เพราะอาหารเช้าคือแหล่งพลังงานสำคัญที่ช่วยให้สมองและร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน การอดอาหารเช้าทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ และยังเสี่ยงต่อการทานมื้ออื่นหนักขึ้น รวมถึงอาจทำให้ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ เสี่ยงต่อโรคกระเพาะ และโรคอ้วนได้ง่าย
2. บริโภคอาหารไม่มีประโยชน์
การเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารจานด่วน ของทอด ของมัน อาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด หรืออาหารแปรรูปต่าง ๆ เป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมทำลายสุขภาพที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย อาหารเหล่านี้มักมีแคลอรี่สูง ไขมันทรานส์ น้ำตาล และโซเดียมในปริมาณมาก แต่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง
3. นั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ
สำหรับชาวออฟฟิศ การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่ลุกเปลี่ยนอิริยาบถ ถือเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก ทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง เสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรม นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่าย ทุกคนสามารถลองดูบทความ 5 พฤติกรรมทำบ่อยในออฟฟิศอาจเสี่ยงโรคร้ายได้ เพื่อรู้เท่าทันภัยเงียบนี้ให้มากขึ้น
4. กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน
การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ เพราะติดพันงานหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการที่น้ำปัสสาวะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือกรวยไตอักเสบ หากปล่อยให้เกิดการอักเสบบ่อยครั้ง อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของไตในระยะยาวได้ ดังนั้น เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะควรเข้าห้องน้ำทันที
5. นอนหลับไม่เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นประจำ เป็นพฤติกรรมทำลายสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจในหลายด้าน ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เจ็บป่วยได้ง่าย ขาดสมาธิในการทำงาน ความจำแย่ลง อารมณ์แปรปรวน และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง การให้ความสำคัญกับการนอนหลับที่มีคุณภาพจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
6. ดื่มน้ำน้อย
ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ การดื่มน้ำน้อยเกินไปจึงส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้เลือดข้นขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดี ผิวพรรณแห้งกร้านไม่สดใส เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และท้องผูกได้ง่าย นอกจากนี้ การดื่มน้ำน้อยยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะอีกด้วย จึงควรดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
7. ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำ และการสูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง ถือเป็นพฤติกรรมทำลายสุขภาพที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง แอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อตับ สมอง และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด ส่วนบุหรี่เต็มไปด้วยสารพิษที่ทำลายปอด หัวใจ และหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจ การลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
8. ไม่ออกกำลังกาย
การขาดการออกกำลังกาย หรือการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะกระดูกพรุน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและหัวใจ ควบคุมน้ำหนัก ลดความเครียด และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แม้มีเวลาน้อยก็สามารถเริ่มจากการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นในชีวิตประจำวันได้
9. เครียดสะสมและไม่หาวิธีผ่อนคลาย
ความเครียดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในชีวิตการทำงาน แต่การปล่อยให้เกิดความเครียดสะสมโดยไม่หาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสม จะส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ความเครียดเรื้อรังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ การหาวิธีจัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย การทำงานอดิเรก หรือพูดคุยกับคนใกล้ชิดจึงสำคัญมาก
10. ไม่ตรวจสุขภาพประจำปี
หลายคนมักละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะเมื่อยังรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงดี แต่การตรวจสุขภาพเป็นประจำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการค้นหาความเสี่ยงหรือสัญญาณเตือนของโรคต่าง ๆ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะทำให้การรักษาได้ผลดีและมีโอกาสหายขาดสูงกว่า การรอจนมีอาการผิดปกติแล้วจึงไปพบแพทย์ อาจทำให้การรักษายากขึ้นและมีค่าใช้จ่ายสูง การสละเวลาตรวจสุขภาพปีละครั้งจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ร่างกายมักส่งสัญญาณเตือนเมื่อสุขภาพเริ่มมีปัญหา หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง ควรหันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น
- อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ
- นอนไม่หลับ หลับยาก หรือตื่นกลางดึกบ่อย ๆ
- ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรือตาลายบ่อยครั้ง
- ระบบขับถ่ายแปรปรวน เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสาเหตุ
- ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส หรือมีปัญหาผิวบ่อยขึ้น
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกเศร้าหมอง
- เป็นหวัดหรือเจ็บป่วยง่ายกว่าปกติ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำลายสุขภาพอาจต้องอาศัยความตั้งใจและเวลา แต่ก็สามารถทำได้ โดยเริ่มต้นจากสิ่งเหล่านี้
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและทำได้จริง เริ่มจากเป้าหมายเล็ก ๆ ทีละน้อย เพื่อสร้างกำลังใจ
- ปรับเปลี่ยนทีละอย่าง อย่าพยายามเปลี่ยนทุกอย่างพร้อมกัน เพราะอาจทำให้ท้อแท้ได้ง่าย
- จดบันทึกและติดตามความคืบหน้า เพื่อให้เห็นพัฒนาการและสร้างแรงจูงใจ
- หากำลังใจจากคนรอบข้าง ชวนเพื่อนหรือคนในครอบครัวร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปด้วยกัน
- ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ เป็นการสร้างแรงเสริมทางบวก
- ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากมีข้อสงสัยหรือไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเอง เช่น แพทย์ นักโภชนาการ
พฤติกรรมทำลายสุขภาพหลายอย่าง มักเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันได้ตระหนักถึงผลกระทบในระยะยาว การทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงของพฤติกรรมเหล่านี้ และการหมั่นสำรวจตนเองอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตทีละเล็กทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การพักผ่อน การออกกำลังกาย หรือการจัดการความเครียด ล้วนเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ยืนยาวสำหรับคนวัยทำงานทุกคน
ที่มา:
phyathai.com
ofm.co.th
paolohospital.com