เด็กจบใหม่ต้องรู้ 4 รูปแบบการจ้างงานยอดฮิต แบบไหนที่เหมาะกับเราที่สุด

24/06/25   |   162   |  

 

 

JobThai Mobile Application หางานตรงใจได้ผ่านมือถือ โหลดเลย!

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

ก้าวแรกสู่โลกการทำงานของเด็กจบใหม่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและโอกาสมากมาย หนึ่งในสิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลาย เพื่อเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง การรู้จักรูปแบบสัญญาจ้างแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเริ่มต้นอาชีพได้อย่างราบรื่น บทความนี้ JobThai จะพาไปทำความรู้จัก 4 รูปแบบการจ้างงานยอดฮิตกัน

 

สัญญาจ้างงานคืออะไร ทำไมเด็กจบใหม่ควรรู้

สัญญาจ้างงาน คือ เอกสารข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ที่ระบุรายละเอียดและเงื่อนไขการทำงานต่าง ๆ เช่น ตำแหน่งหน้าที่ ขอบเขตงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ และระยะเวลาการจ้างงาน (ถ้ามี) ซึ่งสำหรับเด็กจบใหม่ การทำความเข้าใจสัญญาจ้างงานถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เราควรอ่านเอกสารอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะมันเป็นหลักฐานที่ช่วยปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตัวเราเอง ทำให้เราเข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างชัดเจน และเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้ตามกฎหมายแรงงาน การศึกษาเงื่อนไขในสัญญาอย่างละเอียดรอบคอบก่อนลงนามจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

 

สัญญาจ้างงาน ควรมีอะไรบ้าง

ในสัญญาจ้างงานควรมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

  • ข้อมูลของนายจ้างและลูกจ้าง (ชื่อ, ที่อยู่)
  • ตำแหน่งงานและขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ
  • อัตราค่าจ้าง วิธีการจ่าย และวันที่จ่าย
  • จำนวนวันและเวลาทำงานปกติ จำนวนวันหยุดประจำสัปดาห์ จำนวนวันหยุดตามประเพณี และจำนวนวันลาพักร้อน
  • สถานที่ทำงาน
  • ระยะเวลาของสัญญาจ้าง (กรณีสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา)
  • สวัสดิการอื่น ๆ (ถ้ามี เช่น ค่าเดินทาง ประกันสุขภาพ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)
  • เงื่อนไขการบอกเลิกสัญญาจ้าง
  • ลายมือชื่อของทั้งสองฝ่ายและวันทำสัญญา

 

รูปแบบการจ้างงานมีอะไรบ้าง

เมื่อเริ่มเข้าใจเรื่องของสัญญาจ้างงานแล้ว ลองมาดูกันว่ารูปแบบการจ้างงานที่เด็กจบใหม่มักพบเจอในปัจจุบันมีอะไรบ้าง และแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกงานที่ใช่ว่าเราเหมาะจะทำงานในรูปแบบไหนมากที่สุด

 

1. พนักงานประจำ (Full-time)

พนักงานประจำ คือ รูปแบบการจ้างงานที่มีการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดสัญญา ซึ่งลูกจ้างจะได้รับเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือนหรือตามรอบที่ตกลงกันไว้ พร้อมได้สวัสดิการตามที่กฎหมายกำหนดและตามนโยบายของบริษัท เช่น ประกันสังคม วันลาพักร้อน โบนัส (ถ้ามี) ฯลฯ ซึ่งรูปแบบนี้มีข้อดีตรงที่คนทำงานจะมีความมั่นคงในอาชีพสูง มีโอกาสเติบโตในสายงาน ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานเต็มที่ แต่ข้อควรพิจารณาคือ อาจเป็นเรื่องความยืดหยุ่นของเวลาทำงานที่น้อยกว่า และอาจต้องทำงานตามกรอบโครงสร้างขององค์กร

 

เหมาะกับใคร

  • เด็กจบใหม่ หรือคนเพิ่งเริ่มทำงาน ที่ต้องการสร้างรากฐานอาชีพที่มั่นคง และเรียนรู้ระบบการทำงานที่เป็นแบบแผน
  • พนักงานที่มุ่งมั่นกับการเติบโตในสายอาชีพ และต้องการไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารภายในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
  • คนที่มีครอบครัวหรือภาระค่าใช้จ่ายประจำ ที่ต้องการรายได้และสวัสดิการที่แน่นอน เพื่อวางแผนชีวิตระยะยาวได้อย่างอุ่นใจ

 

2. พนักงานสัญญาจ้าง (Contract Employee)

พนักงานสัญญาจ้าง หรือ Contract Employee คือ คนที่ทำงานภายใต้สัญญาที่มีการกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดที่ชัดเจน อาจเป็นสัญญาจ้างตามโครงการ ตามฤดูกาล มีการระบุช่วงเวลาที่จัดเจน และเมื่อถึงจุดสิ้นสุดสัญญา การจ้างงานนั้น ๆ ก็จะถือเป็นอันจบลง เว้นแต่จะมีการต่อสัญญาใหม่ ซึ่งข้อดีของการจ้างงานรูปแบบนี้คือเราอาจได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าพนักงานประจำในบางตำแหน่ง ได้ประสบการณ์ที่หลากหลายจากการทำงานในโครงการต่าง ๆ ได้ร่วมงานกับหลาย ๆ องค์กร และมีอิสระในการเลือกรับงานต่อไปหลังหมดสัญญา แต่ข้อควรพิจารณาคือความไม่แน่นอนของงานหลังหมดสัญญา และในขณะที่ทำงาน สวัสดิการอาจไม่ครอบคลุมเท่ากับพนักงานประจำ

 

เหมาะกับใคร

  • พนักงานที่อยากลองเปลี่ยนสายงาน แต่ยังไม่มั่นใจ สามารถใช้สัญญาจ้างเพื่อทดลองทำงานในบทบาทหรืออุตสาหกรรมใหม่ ๆ ได้
  • ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialist) ที่ต้องการทำงานในโปรเจกต์ใหญ่ ๆ เพื่อสร้างผลงานและรับค่าตอบแทนสูงในระยะเวลาที่กำหนด
  • เด็กจบใหม่ ที่ต้องการสร้างโปรไฟล์ให้โดดเด่น ด้วยประสบการณ์จากโปรเจกต์ที่หลากหลายในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
  • ผู้จัดการหรือหัวหน้าทีม ที่ต้องการกำลังคนที่มีทักษะพิเศษมาช่วยโปรเจกต์เร่งด่วน โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนพนักงานประจำ

3. พนักงานพาร์ตไทม์ (Part-time Employee)

พนักงานพาร์ตไทม์ คือ ผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลาตามชั่วโมงการทำงานปกติขององค์กร อาจทำงานเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน หรือไม่กี่วันต่อสัปดาห์ โดยได้รับค่าจ้างตามชั่วโมงหรือตามวันที่ทำงานจริง ข้อดีของรูปแบบการจ้างงานนี้คือ มีความยืดหยุ่นสูง เราสามารถจัดสรรเวลาเรียน หรือทำกิจกรรมอื่นควบคู่ไปกับการทำงานได้ ช่วยเสริมรายได้และประสบการณ์ แต่ข้อควรพิจารณาคือ รายได้อาจไม่แน่นอน สวัสดิการมักจะน้อยกว่าพนักงานประจำ และโอกาสก้าวหน้าในองค์กรอาจมีจำกัด

 

เหมาะกับใคร

  • พนักงานประจำที่ต้องการหารายได้เสริม โดยใช้เวลาว่างหลังเลิกงานหรือวันหยุดทำงานพิเศษ
  • นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการประสบการณ์การทำงานและมีรายได้เสริม โดยไม่กระทบกับตารางเรียน
  • คนทำงานอิสระ (ฟรีแลนซ์) หรือเจ้าของธุรกิจ ที่ต้องการมีรายได้ประจำที่แน่นอนควบคู่ไปกับงานหลัก เพื่อเพิ่มความมั่นคง
  • ผู้ที่กำลังว่างงาน ที่ต้องการมีรายได้หมุนเวียนระหว่างการหางานประจำตำแหน่งใหม่

 

4. สัญญาจ้างรายวัน (Casual) หรือ ฟรีแลนซ์ (Freelance)

การจ้างงานลักษณะนี้มักเป็นการจ้างเป็นครั้งคราว จบเป็นงาน ๆ ไป หรือตามความต้องการของนายจ้าง เช่น งานอีเวนต์ งานโปรเจกต์สั้น ๆ หรือ ฟรีแลนซ์ ที่รับงานอิสระ คิดค่าตอบแทนเป็นรายวัน รายชิ้น หรือตามตกลง ข้อดีคือมีอิสระในการเลือกรับงานและกำหนดเวลาทำงานเองสูงมาก อาจได้ทำงานหลายแบบและได้ร่วมงานกับหลาย ๆ องค์กร แต่ข้อควรพิจารณาคือความไม่มั่นคงของรายได้ ไม่มีสวัสดิการจากผู้ว่าจ้างโดยตรง และต้องบริหารจัดการตนเองทั้งเรื่องงานและภาษี

 

เหมาะกับใคร

  • พนักงานประจำที่มีทักษะเฉพาะทางสูง ที่เริ่มเบื่องานรูทีน และต้องการผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจ
  • ผู้เชี่ยวชาญที่เกษียณแล้ว ที่ยังต้องการใช้ความรู้ความสามารถทำงานเป็นที่ปรึกษาหรืองานโปรเจกต์สั้น ๆ ที่ไม่ผูกมัด
  • เด็กจบใหม่ที่มีทักษะโดดเด่น เช่น Content Creator, Online Marketer ที่สามารถสร้างรายได้จากทักษะของตนเองได้ทันที
  • เจ้าของธุรกิจหรือสตาร์ทอัพ ที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยงานเป็นครั้งคราว เช่น ออกแบบโลโก้ ทำการตลาดออนไลน์ เพื่อควบคุมต้นทุน

 

ก่อนเซ็นหนังสือสัญญาจ้างงาน ต้องดูอะไรบ้าง

ก่อนเซ็นหนังสือสัญญาจ้างงาน อย่าลืมตรวจสอบรายละเอียดดังนี้

  • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลส่วนตัว ตำแหน่งงาน และชื่อบริษัท
  • อ่านรายละเอียดขอบเขตงาน หน้าที่ความรับผิดชอบให้เข้าใจชัดเจน
  • ตรวจสอบอัตราค่าจ้าง กำหนดวันจ่ายเงิน และวิธีการจ่ายเงิน
  • ทำความเข้าใจเรื่องวันเวลาทำงานปกติ การทำงานล่วงเวลา และวันหยุดต่าง ๆ
  • สอบถามสวัสดิการที่จะได้รับ เช่น ประกันสังคม ประกันสุขภาพ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ
  • อ่านเงื่อนไขการลาประเภทต่าง ๆ เช่น ลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน
  • กรณีเป็นสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลา ให้ดูวันเริ่มต้นและสิ้นสุดสัญญาให้ชัดเจน
  • ทำความเข้าใจเงื่อนไขการบอกเลิกสัญญาของทั้งสองฝ่าย
  • หากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจส่วนใด ควรถามนายจ้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้กระจ่างก่อนเซ็น

 

สรุป

การทำความเข้าใจรูปแบบการจ้างงานแต่ละประเภทถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กจบใหม่ เพราะเราจะสามารถเลือกงานที่สอดคล้องกับความต้องการ เป้าหมายในอาชีพ และไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ดีที่สุด โดยไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ พนักงานสัญญาจ้าง พาร์ตไทม์ หรือฟรีแลนซ์ แต่ละรูปแบบก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ จะช่วยให้การเริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข

tags : เด็กจบใหม่, จบใหม่, นักศึกษาจบใหม่, จบใหม่ต้องรู้, พนักงานประจำ, พาร์ตไทม์, ฟรีแลนซ์, สัญญาจ้าง



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม