“ความคิดของคุณผมว่ามันดูจะหลุดกรอบไปหน่อยนะ ผู้ใหญ่เขาคงไม่ชอบ”
ธนพล รู้คำตอบแต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้หลังจากที่เขาพยายามเสนอแนวคิดเรื่องเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นของพนักงาน เขารู้ดีว่าการจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในองค์กรนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ธนพลก็จะพยายามทำ เพราะเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าให้กับทุกคน
การที่คนคนหนึ่งจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมคนหมู่มากนั้นดูจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความคิดเหมือนธนพล ก็อย่าเพิ่งท้อใจไป วันนี้เรามีตัวอย่างจากนักธุรกิจที่มีความโดดเด่นเรื่องการคิดค้นนวัตกรรมที่คนทั่วไปไม่กล้าแม้แต่จะคิด ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ Elon Musk ผู้บริหารของ SpaceX บริษัทผลิตยานอวกาศ Tesla Motors บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า SolarCity บริษัทผลิตระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ธนาคารออนไลน์ระดับโลก แค่ชื่อตัวอย่างบริษัทที่หยิบยกขึ้นมา ก็คงพอจะเห็นภาพแล้วว่าบริษัทของเขาเป็นบริษัทที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อให้มนุษย์เราพัฒนาไปอีกขั้นอย่างแท้จริง
JobThai จะพาไปดูว่า Elon Musk มีปรัชญาในการทำงานอย่างไร ถึงสามารถก่อร่างสร้างตัวได้อย่างยิ่งใหญ่และบริหารธุรกิจที่มีความแตกต่างกันได้หลาย ๆ ธุรกิจในเวลาเดียวกัน
- Elon Musk เชื่อว่าถ้าเขาทำงานมากกว่าคนอื่น จะทำให้เข้าใจงาน และสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าคนอื่นได้ เขาเคยเลือกที่จะนอนออฟฟิศเพราะไม่อยากเสียเวลาทำงานไปกับการเดินทาง
- การจะทำสิ่งใหม่ต้องกล้าเสี่ยง และกล้าตัดสินใจลงมือทำทันที อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่ต้องแบกรับภาระมากนัก
- เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความล้มเหลว เพราะการสร้างนวัตกรรมอาจเสี่ยงต่อการผิดพลาดได้มาก SpaceX เคยล้มเหลวจากการทดลองส่งจรวดขึ้นไปบนอวกาศถึง 3 ครั้ง ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในครั้งที่ 4 ซึ่งการล้มเหลว 3 ครั้งนั้นทำให้เขาเกือบล้มละลายเลยทีเดียว
|
|
1. ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่และขยันให้มากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว
Elon Musk อุทิศเวลาส่วนมากในแต่ละวันให้กับการทำงานของเขาทั้งที่ Tesla และ Space X เพราะเขาเชื่อว่ายิ่งทุ่มเทให้กับธุรกิจของเขามากเท่าไหร่ โอกาสในการประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ขณะที่คนโดยทั่วไปทำงานวันละประมาณ 8 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ Elon Musk คิดว่าถ้าคนเราทำงาน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เราจะได้ใช้เวลาอยู่กับงานและเข้าใจในสิ่งที่เราจะทำมากขึ้น เราจะผลิตผลงานได้มากกว่าและดีกว่าคนอื่น ๆ ที่ทำงานแบบขอไปที ให้ลองคิดดูง่าย ๆ ว่าถ้าได้รับมอบหมายงานมาชิ้นหนึ่ง ขณะที่คนอื่นใช้เวลาทำงานสัปดาห์ละ 50 ชั่วโมง แต่คุณทุ่มเทมากกว่า คุณทำงาน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คุณย่อมมีโอกาสที่จะทำงานเดียวกันนี้สำเร็จเร็วกว่าคนอื่น ๆ ที่ทำงานตามปกติเป็นเท่าตัว Elon Musk เข้าใจความจริงข้อนี้ดีเพราะเขาผ่านมันมาแล้ว ความทุ่มเทและความขยันนี้ ยิ่งสำคัญสำหรับคนที่คิดจะเป็นเจ้าของกิจการ Elon Musk เล่าว่าตอนที่เขาก่อตั้งบริษัทเป็นครั้งแรก เขากับน้องชายเลือกที่จะกินและนอนที่บริษัทแทนการเช่าอพาร์ทเม้นท์ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับ พวกเขาทำงานกันทั้งวันทั้งคืน 7 วันต่อสัปดาห์ด้วยการเปิดเว็บไซต์ในตอนกลางวันและเขียนโปรแกรมเพื่อพัฒนาระบบในตอนกลางคืนโดยมีเพียงคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ในช่วงนั้นชีวิตของเขามีแต่งาน ทุกชั่วโมงที่เขาลืมตาตื่นเขาอุทิศให้แต่กับงานของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
2. รู้จักตั้งเป้าหมายให้ยิ่งใหญ่เข้าไว้
Elon Musk ทำให้คนทั้งโลกรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมากแค่ไหน เมื่อเขาเสนอไอเดียในการสร้างอาณานิคมใหม่บนดาวอังคาร แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นจริงได้ แต่ Elon Musk คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายในการหาที่พักพิงใหม่ให้กับมนุษย์ หากเกิดสงครามโลก หรือการแย่งชิงทรัพยากรกันบนโลกจนทำให้โลกใบนี้ไม่น่าอยู่อีกต่อไป แนวคิดนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาตั้งบริษัท SpaceX ขึ้นมาในปี 2002 และในขั้นต้นบริษัทนี้มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในการขนส่งทางอวกาศ แม้เป้าหมายในการให้คนไปอยู่อาศัยที่ดาวอังคารจะไม่มีวันเป็นจริงได้ แต่เขาก็เชื่อว่าการตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ อย่างน้อยในระหว่างทางก็ทำให้เกิดการพัฒนาเพื่อไปสู่เป้าหมาย เพราะก่อนจะไปถึงจุดที่มนุษย์จะดำรงชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆได้ เราก็ต้องคิดค้นหาวิธีต่าง ๆ นานา เช่น การสร้างยานอวกาศที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า การคิดว่าทำอย่างไรมนุษย์จะสามารถอาศัยบนดาวเคราะห์อื่นที่มีสภาพแตกต่างจากโลกได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนยีใหม่ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติในอนาคต Elon Musk จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของคนที่ตั้งเป้าหมายให้ไกล และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ใครจะไปรู้ว่าไอเดียจาก Elon Musk อาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ผลิตนวัตกรรมที่ปฏิวัติโลกและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมวลมนุษยชาติในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้
3. ตระหนักอยู่เสมอว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
Elon Musk เคยกล่าวไว้ว่าปัญหาคือสิ่งที่จะทำให้เราเกิดการพัฒนา นั่นหมายความว่าความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป เพราะถ้างานทุกอย่างง่ายดาย มันก็จะไม่ท้าทายความสามารถของเรา เราก็จะไม่เกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปอีกขั้น ในปี 2008 ถือเป็นช่วงวิกฤตที่สุดในชีวิตของ Elon Musk บริษัท SpaceX ของเขามีโครงการที่จะต้องทดลองส่งจรวดที่มีชื่อว่า Falcon 1 ไปในอวกาศ ซึ่งถ้าโครงการนี้ทำไม่ได้ตามเป้า เขาอาจต้องปิดบริษัท เนื่องจากในการปล่อยจรวดแต่ละครั้ง เขาต้องเสียทั้งเงินทั้งทรัพยากรพลังงานที่มีมูลค่ามหาศาล และการปล่อยจรวด 3 ครั้งแรกที่มีมูลค่ารวมกันเกินกว่า 100 ล้านดอลลาร์ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าจนเขาต้องยอมรับว่าถ้าครั้งที่ 4 ยังไม่สำเร็จอีก เขาคงต้องล้มละลาย แต่แล้วด้วยความพยายามเฮือกสุดท้าย SpaceX ก็สามารถ ปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จและได้เซ็นสัญญามูลค่า 1600 ล้านดอลลาร์ กับ NASA ในการจัดส่งเสบียงให้กับสถานีอวกาศนานาชาติ Elon Musk จึงรู้ซึ้งดีว่าความล้มเหลวนั้นเป็นก้าวหนึ่งบนหนทางสู่ความสำเร็จจริง
4. รู้จักขีดจำกัดของตัวเองเป็นอย่างดี
Elon Musk เป็นคนฉลาด เขาเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ขวบ และ 3 ปีต่อมา ด้วยวัยเพียง 12 ปี เขาเขียนโปรแกรมเกมได้ด้วยตัวเองซึ่งขายได้ในราคาถึง 500 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากความฉลาดและความขยันแล้วเขายังรู้จักตัวเองและรู้ข้อจำกัดของตัวเองเป็นอย่างดี เห็นได้จากการที่เขาเริ่มมีไอเดียในการตั้งบริษัทผลิตระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2006 เขาตระหนักดีว่าธุรกิจใหม่นี้อาจทำให้เขามีเวลาให้กับ SpaceX และ Tesla น้อยลง เขาจึงหาแนวร่วมซึ่งก็คือ คู่พี่น้องตระกูล Rive ซึ่งได้แก่ Peter และ Lyndon จนทำให้พวกเขาตั้งบริษัท SolarCity ขึ้นมาภายในปีเดียวกันนั้นเอง และ Elon Musk ก็เป็นทั้งผู้ถือหุ้นหลักและประธานคณะกรรมการบริหาร ปัจจุบันเขาแบ่งเวลาให้กับ SolarCity บ้างแต่ก็ไม่มากเกินไปจนส่งผลต่ออีก 2 บริษัทที่เขาดูแลอยู่ เพราะฉะนั้นคุณต้องรู้จักข้อดี ข้อเสียของตัวเองให้ดี รู้ว่าสิ่งไหนที่ควรให้ความสำคัญและทุ่มเทอย่างเต็มที่ สิ่งที่ไม่สำคัญเท่า หรือไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า และไม่ฝืนทำอะไรที่เกินความสามารถของตนเอง
5. เลือกคนให้เป็น
คนทั่วไปอาจเข้าใจผิดว่า Elon Musk เก่งไปเสียทุกเรื่อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาแค่รู้จักวิธีที่จะทำให้งานของเขาบรรลุผลได้ด้วยการเลือกคบคนให้เป็นและใช้คนให้ตรงกับงาน เขารู้จักเลือกคนที่มีความสามารถเพื่อเข้ามาทำงานแทนในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ ที่ SpaceX Elon Musk ไม่ได้ออกแบบเครื่องยนต์ของกระสวยอวกาศด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ที่ Tesla เขาก็ไม่ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว เขาต้องใช้ทีมงานที่ไว้ใจและมีความรู้เฉพาะทางด้านวิศวกรรมยานยนต์เพื่อมาช่วยกันสร้างและพัฒนารถยนต์ที่ใช้ระบบพลังงานไฟฟ้าทั้งคันจนออกมาถูกใจผู้ใช้งาน เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานบริษัท หรือคิดจะเปิดบริษัทเป็นนายของตัวเอง เรื่องของ “คน” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้จักเลือกคบและเลือกใช้ พิจารณาดูให้ดีว่ากลุ่มคนที่คุณอยากร่วมงานด้วยมีพรสวรรค์และมีความขยันขันแข็งในการทำงานมากแค่ไหน ยิ่งคนที่มีความสามารถมารวมกันโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยิ่งมีมากขึ้น ถ้าคนในทีมของคุณเก่ง ประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมของทีมก็จะออกมาดี ถ้าพนักงานในบริษัทของคุณมีความสามารถ บริษัทของคุณก็จะก้าวไปได้ไกล
6. กล้าเสี่ยงและรีบลงมือทันทีเมื่อมีโอกาส
Elon Musk คิดว่าถ้ามีไอเดียที่ดีที่อยากจะทำอะไรเพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเปลี่ยนแปลงโลก ก็ให้รีบทำตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่ารอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เพราะชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงได้แค่ชั่วพริบตาเดียว เขาสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าลองเสี่ยงทำตามฝัน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แม้เรื่องนั้นจะง่ายดาย หรืออาจไม่มีวันเป็นจริงได้ ยิ่งดีหากคุณเพิ่งเริ่มต้นทำงาน เพราะคุณยังไม่มีกฏเกณฑ์อะไรมาตีกรอบชีวิต ไม่มีภาระให้ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณลงมือทำช้า อายุคุณยิ่งมากขึ้น มีลูกมี ครอบครัวที่ต้องดูแล เงื่อนไขเหล่านั้นจะทำให้คุณตัดสินใจยากขึ้น เพราะมีสิ่งต่าง ๆ ให้ต้องพิจารณามากขึ้นก่อนจะลงมือทำ จนทำให้ท้ายที่สุดแล้วคุณไม่มีโอกาสแม้แต่ครั้งเดียวที่จะได้ลองทำตามความฝันของตัวเอง
JobThai มี Line แล้วนะคะ
ติดตามสาระความรู้สำหรับคนทำงาน ที่ย่อยง่าย อ่านสนุก และพูดคุยทุกแง่มุมเกี่ยวกับการทำงานอย่างใกล้ชิดที่
ที่มา:
brainprick.com
inc.com
simplethingcalledlife.com
investopedia.com