ทัศนคติในการทำงานสไตล์ Benedict Cumberbatch ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นเหมือนใช้พลังของ Doctor Strange

06/06/22   |   3.9k   |  

 

 

 

 

JobThai Mobile Application สมัครงานง่าย ได้งานเร็ว

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

ถ้าการทำทุกเรื่องในโลกนี้ง่ายเหมือนกับการใช้เวทย์มนต์ก็คงดีไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของการทำงาน บางครั้งงานที่โหดหินแสนยากกลับดูเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อได้อยู่ในความรับผิดชอบของคนที่ทำงานเก่ง ถึงความสำเร็จในการทำงานจะไม่มีทางลัด แต่การพัฒนาตัวเองด้วยการเรียนรู้จากบทเรียนของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว อาจสร้างโอกาสหรือต่อยอดให้คุณได้

 

JobThai มีแนวทางในการทำงานของนักแสดงระดับโลกอย่าง Benedict Cumberbatch มาแนะนำ ซึ่งเขาโด่งดังจากบทบาทของ Doctor Strange หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “หมอแปลก” ของจักรวาล Marvel หรืออีกบทบาทหนึ่งที่สร้างชื่อไม่แพ้กันอย่างนักสืบอัจฉริยะ Sherlock Holmes ในซีรีส์ “Sherlock” มาดูกันว่าเขามีทัศนคติ แนวทาง และเทคนิคในการทำงานอย่างไร จนทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

 

โด่งดังจากเกาะอังกฤษ และข้ามฟากมาแจ้งเกิดกับ Hollywood ด้วยการสร้างโปรไฟล์การทำงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Benedict Timothy Carlton Cumberbatch เรียนการละครที่มหาวิทยาลัย Manchester ประเทศอังกฤษ และยังมีความสนใจศิลปะหลายแขนงทั้งดนตรีและการวาดภาพสีน้ำมัน เมื่อจบการศึกษา เขาก็เริ่มเดินทางตามฝันในวงการบันเทิงด้วยการเล่นละครเวทีอยู่หลายปี และรับเล่นละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ในบทเล็ก ๆ ไปพร้อม ๆ กัน จนเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น ตั้งแต่การได้รับบทเป็นStephen Hawking นักฟิสิกส์ชื่อดังในวัยหนุ่มในภาพยนตร์โทรทัศน์ของช่อง BBC ในปี 2004 ไปจนถึงบทเล็กๆ ในภาพยนตร์เรื่อง Atonement ในปี 2007 แต่เขาได้แจ้งเกิดในวงการอย่างเป็นทางการจากบท Sherlock Holmes ในซีรีส์ Sherlock ในปี 2010 ซึ่งเรื่องราวเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันแทนที่จะเป็นยุคโบราณอย่างวรรณกรรมต้นฉบับ จนทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นในระดับโลก ด้วยทักษะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ และการเลือกรับบทตัวละครที่ฉลาดเป็นกรด มีนิสัยแปลกและแตกต่างจากตัวละครอื่น ๆ ทำให้เขาได้รับความสนใจมากขึ้นจากผู้กำกับและผู้สร้างภาพยนตร์ที่ต้องการนำเสนอตัวละครที่สดใหม่ ซึ่งหนี่งในนั้นก็หนีไม่พ้นบท Doctor Strange หรือ หมอแปลก ฮีโร่ผู้ใช้เวทย์มนต์เป็นพลังพิเศษ ของ Marvel การรับบทนี้ทำให้เขาโด่งดังขึ้นไปอีกและกลายเป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของแฟน ๆ Marvel Comics ไม่แพ้ Ironman ของ Robert Downey Jr.เลย

 

Comeback แบบ Iron Man วิธีกู้ความเชื่อมั่นจากคนรอบข้างเมื่อทำผิดพลาด สไตล์ Robert Downey Jr.

 

บทเรียนแรกสำหรับคนทำงานที่เห็นได้จากก้าวแรกของ Benedict Cumberbatch คือ การรู้ลึก รู้จริงในงานที่ทำ ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนจนชำนาญ อีกทั้งยังต้องรู้จักสร้างสไตล์การทำงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และรู้จักเลือกงานที่จะทำให้เราได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต แนวทางการทำงานเช่นนี้จะสร้างความโดดเด่นให้กับเรา เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว เราอาจจะได้รับเลือกเป็นอันดับแรกในการมอบหมายให้รับผิดชอบงานสำคัญ และสร้างโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จในวันข้างหน้า

 

ให้คนอื่นให้เกียรติได้ แต่ต้องเห็นคุณค่าของตัวเองก่อน 

ก่อนที่จะมารับบท Doctor Strange นอกจากเหตุผลเรื่องคิวถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Star Trek: Into the Darkness (2014) ที่ชนกับตารางของภาพยนตร์ Doctor Strange ภาคแรกแล้ว Benedict Cumberbatch ได้เคยปฏิเสธบทตัวละครอื่นที่ทาง Marvel เคยเสนอให้เขา โดยให้เหตุผลว่า เขาอยากได้บทที่น่าสนใจกว่านี้ ฟังดูเผิน ๆ อาจจะเป็นการทะนงตัวที่ไม่อยากรับงานบทเล็ก ๆ แต่ความจริงแล้ว นั่นเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่องานที่ทำอยู่ เมื่อได้รับงานมาแล้วก็ต้องจัดลำดับความสำคัญ ทำงานตรงหน้าให้ดีเสียก่อน แม้จะมีโอกาสใหม่ มีงานที่ใหญ่กว่าเข้ามา ถ้าเวลายังไม่ใช่ ก็ต้องยอมปล่อยโอกาสนั้นไปก่อน สำหรับคนทำงานเองก็เหมือนกัน บางครั้งเราก็ต้องรู้จักปฏิเสธให้เป็น เพราะการรับงานทุกอย่างมาทำทั้ง ๆ ที่เราไม่มีความพร้อม อาจจะทำให้งานทุกอย่างที่ทำไปพร้อม ๆ กันนั้นออกมาไม่ดีสักอย่างเลยก็ได้ หากเราเชื่อมั่นในศักยภาพของเราจริง ๆ ย่อมต้องมีคนมองเห็นคุณค่าที่คู่ควรกับเราเข้าสักวัน เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงและมีคนให้โอกาสเราอีกครั้ง ก็ตอบแทนเขาด้วยการทุ่มเทในการทำงานอย่างเต็มที่ให้สมกับความคาดหวัง

 

ได้รับผิดชอบงานอะไรก็ต้องไปให้สุด อย่ากลัวว่าจะลำบาก  

Benedict Cumberbatch ขึ้นชื่อเรื่องการทำสิ่งที่ท้าทายและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับทุกบทบาทที่เขาเล่น ที่สำคัญเขายังมีทัศนคติที่ว่า การทำงานที่ยากก็เหมือนกับการศึกษาต่อเพื่อให้ได้ใบปริญญาเพิ่มมาอีกใบ เขามองว่าการทำงานที่ดูยากทุกเรื่องสามารถสำเร็จได้ หากตั้งใจเรียนรู้ มีความอดทน และใช้เวลามากพอ ตัวอย่างจากการทำงานในเรื่อง The Power of the Dog (2021) เขาได้เรียนรู้การใช้เชือกบ่วง และการขี่ม้าต้อนปศุสัตว์เพื่อให้สมจริงสมจรังกับบทบาท Phil Burbank เจ้าของฟาร์มซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง ตัวละครตัวนี้เป็นคนที่เรียกได้ว่าเก่งรอบด้าน มีการศึกษาสูง เก่งงานฝีมือ และเชี่ยวชาญการเล่นดนตรี วิธีที่ทำให้การแสดงสมจริงที่สุดก็คือการเรียนรู้ทักษะจริงที่ตัวละครของเขาทำได้ เพื่อให้เข้าถึงบทบาทได้มากขึ้น Benedict ต้องฝึกเล่นเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่มีชื่อเรียกว่า Banjo(เขาเคยต้องฝึกเล่นไวโอลินให้ดูเป็นมืออาชีพมาแล้วในซีรีส์ Sherlock)โดยตัวละครที่เขารับบทเป็นคนที่เล่นเครื่องดนตรีประเภทนี้เก่งมาก และการที่เขาต้องฝึกเล่นให้ดูเหมือนคนที่เล่นเครื่องดนตรีนี้มาทั้งชีวิตภายในระยะเวลาเพียงเดือนเดียว ฟังดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างถ่ายทำเขาก็ยังคงแสดงบทบาทของตัวละครตัวนี้แม้จะอยู่ในช่วงพัก ซึ่งไอเดียนี้เริ่มต้นจากผู้กำกับของเรื่องที่แนะนำตัวเขาครั้งแรกให้ทีมงาน โดยเรียกเขาว่า Phil แทนชื่อจริง และเขาก็ตามน้ำไปด้วยตลอดการถ่ายทำ ถึงขนาดที่ว่าบางช่วง Benedict Cumberbatch ไม่ยอมอาบน้ำเป็นสัปดาห์ เพื่อซึมซับอารมณ์ของตัวละคร และจำลองว่าภายใต้เงื่อนไขและบรรยากาศแบบชาวไร่สมัยก่อนที่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำนั้น เขาจะรู้สึกและแสดงออกมาให้สมจริงได้อย่างไร (รูปแบบการเข้าถึงตัวละครแบบนี้ ในวงการเรียกกันว่าเทคนิคการแสดงแบบ Method Acting) เขาพูดติดตลกว่า นักแสดงและทีมงานคนอื่น ๆ ก็คงสัมผัสถึง (กลิ่นตัวของ) ตัวละครนี้ได้เหมือนกัน ในท้ายที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก BAFTA ซึ่งเป็นงานประกาศรางวัลภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฝั่งเกาะอังกฤษบ้านเกิด และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากจากเวทีออสการ์ครั้งที่ 94 ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองของตัวเขาเอง (ครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่อง The Imitation Game ที่ออกฉายในปี 2014)

 

อย่างไรก็ตามการทำงานแบบทุ่มสุดตัวไม่ได้หมายถึงการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำโดยไม่สนใจสุขภาพ แต่เป็นเรื่องของการศึกษาเนื้องาน และให้เวลาทำความเข้าใจกับงานที่เราได้รับมอบหมายอย่างลึกซึ้ง ในแบบที่ว่า เรื่องนี้จะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเรา ถ้าหากเราทำเต็มที่แล้ว ผลลัพธ์ก็น่าจะออกมาดี เป็นที่ชื่นชมของเพื่อนร่วมงาน และอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจของคนรอบตัว

 

เตรียมตัวเองให้พร้อม ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก

ก่อนที่จะได้มารับบท Phil ใน The Power of the Dog นั้น Benedict Cumberbatch เล่าให้ฟังว่า เขาทำการบ้านด้วยการอ่านนิยายต้นฉบับของหนังที่จะเล่น และดูหนังเรื่อง The Piano (1993) ของผู้กำกับ Jane Campion เพื่อทำให้ตัวเองรู้สไตล์การทำงาน และรายละเอียดของผลงานเก่า ๆ ของผู้กับกำกับคนนี้ เมื่อเจอกันก็จะได้มีเรื่องพูดคุยและสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนร่วมงานใหม่ ตลอดจนได้ทำความรู้จักตัวตนของเธอคร่าว ๆ ผ่านงานของเธอก่อนเจอตัวจริง ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการเตรียมตัวที่ประสบความสำเร็จไม่น้อย เมื่อการพบกันครั้งแรกเป็นไปอย่างราบรื่น การทำงานในครั้งต่อมาก็ลงตัวและเข้ากันได้เป็นอย่างดีตลอดการถ่ายทำ จนเมื่อภาพยนตร์ออกฉายก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ทั่วโลก ทำให้ Jane Campion ได้รับรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในที่สุด

 

เราจะเห็นได้ว่าในฐานะคนทำงาน การเตรียมตัวด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับงานที่กำลังได้รับมอบหมาย จะสร้างความประทับใจแรกให้กับเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างาน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความใส่ใจทำงาน แม้ยังไม่ได้มีการมอบหมายงานอย่างเป็นทางการ นอกจากเราจะต่อยอดทำงานได้เร็วขึ้น ไม่ต้องเรียนรู้งานใหม่ทั้งหมดแล้ว เพื่อนร่วมงานก็จะรับรู้ได้ว่าเรามีความกระตือรือร้นในการทำงานชิ้นนี้ และทำให้เกิดความรู้สึกดีในการทำงานด้วย นับเป็นการสร้างบรรยากาศและความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ส่งผลให้สามารถทำงานร่วมกันจนสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย

 

พนักงานอย่างเราควรทำยังไง ให้ร่วมงานกับหัวหน้าคนใหม่ได้อย่างดี

 

อ่อนน้อมถ่อมตน และวางตัวให้ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

แม้ภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องที่เขารับเล่นจะเป็นบทดราม่าหนัก ๆ แต่นอกจอแล้ว Benedict Cumberbatch ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงอารมณ์ดีทั้งกับนักแสดงด้วยกันเอง ทีมงาน และแฟนคลับของเขา ดังจะเห็นได้จากเบื้องหลังการถ่ายทำ การให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่าง ๆ และการพบปะแฟน ๆ ภาพยนตร์ของเขาตามงาน Meet & Greet ที่มักจะเต็มเป็นด้วยบทสนทนาตลก ๆ และความเป็นกันเองมาตั้งแต่เริ่มมีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ว่ากันว่าการประสบความสำเร็จ หรือการได้ยืนท่ามกลาง Spotlight จะทำให้คนเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา นักแสดงบางคนอาจดังแล้วลืมตัว ทำอะไรไม่เกรงใจคนอื่น เมื่อวันที่พวกเขาไม่โด่งดังอีกต่อไป ก็อาจจะไม่เหลือใครอยู่รอบตัวอีกเลย การทำตัวให้ผู้อื่นรักนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เราจริงใจและใส่ใจกับคนที่เราทำงานด้วย ที่สำคัญเราต้องรู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม คิดไว้เสมอว่าถ้าเราอยากให้คนอื่นปฏิบัติกับเราอย่างไร ก็ปฏิบัติตนแบบนั้นกับผู้อื่น และต้องไม่ลืมว่าเราไม่สามารถทำงานด้วยตัวคนเดียวได้ ทุกความสำเร็จนั้นเกิดจากความพยายามของคนหลายคนที่ช่วยกันผลักดันจนบรรลุเป้าหมาย การเคารพและเห็นคุณค่าของทุกคนในทีมจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการทำงาน

 

สุดท้ายนี้ การทำให้เรื่องงานเป็นเรื่องง่าย ต้องอาศัยการเตรียมตัวของเราให้พร้อม การเอาใจใส่ในเนื้อหางานที่ได้รับมอบหมายมา รวมถึงเทคนิคการชนะใจคนด้วยการให้เกียรติและแสดงความจริงใจต่อเพื่อนร่วมงาน หรือคนที่จะทำให้งานของเราประสบความสำเร็จ ถ้าลองเอาแนวคิดในการทำงานแบบ “รักตน รักคน รักงาน” ในสไตล์ Benedict Cumberbatch ไปลองใช้ดู เชื่อว่าเรื่องยาก ๆ ในที่ทำงาน ก็อาจเปลี่ยนเป็นเรื่องง่าย ๆ ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังพิเศษแบบฮีโร่เลยทีเดียว

 

 

สมัครสมาชิกกับ JobThai เพิ่มโอกาสในการได้งาน แม้ไม่ได้ส่งใบสมัคร

 

JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน

 

ที่มา:

hollywoodreporter.com

theguardian.com

deadline.com

screenrant.com

britannica.com

tags : career&tips, คนทำงาน, การทำงาน, แนวคิดในการทำงาน, งาน, ประสบการณ์, เพื่อนร่วมงาน, marvel, นักแสดง, ภาพยนตร์, ความสำเร็จ, doctor strange



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม