"ข้าวโอ๊ต" จากพนักงานประจำสู่อาชีพในฝัน "นักเขียนนิยาย"

"ข้าวโอ๊ต" จากพนักงานประจำสู่อาชีพในฝัน "นักเขียนนิยาย"
20/08/21   |   18k   |  

 

 

JobThai Mobile Application สมัครงานง่าย ได้งานเร็ว

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

หลายคนอาจจะพอทราบว่าการเขียนนิยายออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถทำเงินได้ไม่น้อย และบางคนที่มีงานประจำทำอยู่แล้วก็เลือกการเขียนนิยายออนไลน์เป็นอาชีพเสริม แต่จะมีสักกี่คนที่กล้าลาออกจากงานประจำเพื่อมาเขียนนิยายเต็มตัว วันนี้ JobThai จะพาไปรู้จักกับ ข้าวโอ๊ต นฤมล สุขสำฤทธิ์ นักเขียนนิยายออนไลน์คนนึงที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อทำตามความฝันในการเป็นนักเขียน เรามาดูกันดีกว่าว่าเหตุผลอะไรทำให้เขาตัดสินใจแบบนี้ รวมถึงเบื้องลึกเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นนักเขียนนิยายได้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

 

งานประจำที่เคยทำคืออะไร และอะไรคือจุดเริ่มต้นของการเขียนนิยายเป็นอาชีพเสริม?

ก่อนหน้านี้ทำงานในตำแหน่ง Information Research & Collection / Data Entry Officer เป็นงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ส่วนจุดเริ่มต้นของการเขียนนิยายคือตั้งแต่อายุ 14 ตอนแรก ๆ ก็ยังแต่งเป็นงานอดิเรกอยู่ แต่งประเภท Fan Fiction คู่จิ้นต่าง ๆ ที่กำลังดัง เพื่อเรื่องของเราจะได้ติดเทรนด์ รวมถึงหาฐานแฟนด้อมเข้ามาอ่านด้วย เมื่อก่อนแต่งลงในแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งตอนนั้นยังหาเงินโดยการติดเหรียญไม่ได้ ถ้าจะมีรายได้ส่วนมากจะเป็นการส่งให้สำนักพิมพ์ หรือทำหนังสือเอง ตอนนั้นเราคิดว่ามันค่อนข้างยุ่งยากก็เลยไม่ได้ทำอะไร แต่พอมีแพลตฟอร์มการแต่งนิยายออนไลน์ที่สามารถติดเหรียญเพื่อหาเงินจากนิยายที่เราแต่งได้แบบไม่ยุ่งยาก ก็เลยลองทำดู และมาเขียนนิยายแบบจริงจังเป็นอาชีพช่วงปี 2563 ที่ได้ Work from Home

 

 

ทำงาน 2 อย่าง จัดการชีวิตยังไง?

ตำแหน่งที่ทำเวลาการทำงานจะยืดหยุ่น จัดเวลาการทำงานของเราเองได้ อย่างของพี่จะเริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น หลังจากเลิกงานและทำธุระส่วนตัวต่าง ๆ แล้วก็มีเวลาว่างเขียนนิยายตั้งแต่ 6 โมง ถึง 4 ทุ่ม ในหนึ่งวันเราแต่ง 2 เรื่อง เรื่องละ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ถ้าเรื่องแรกใช้เวลานานจนดึกไป เราก็จะเก็บอีกเรื่องไปทำวันถัดไป แต่ถ้าลาออกมาเป็นนักเขียนเต็มตัวก็คงจะปรับเป็นเรื่องละ 4 ชั่วโมง อยากใช้ชีวิตเหมือนทำงานประจำ 8 ชั่วโมง เพราะคิดว่าถ้าเราทำงานทั้งวัน หรือทำไม่เป็นเวลา มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่เราทำงานประจำไปด้วยแบบที่เคยทำ

 

ความท้าทายของการเขียนนิยายคืออะไร งานประจำและการเขียนนิยายมีทักษะอะไรที่เอามาใช้ด้วยกันได้?

ความท้าทายคือทำยังไงให้คนอ่านชอบ ตอนนี้นิยายที่แต่งจะแบ่งเป็น 2 แบบ แบบที่เราชอบ และแบบที่คนอ่านชอบ ความท้าทายคือเราต้องรู้ให้ได้ว่าคนอ่านต้องการอะไร อยากให้ตอนต่อไปเป็นแบบไหน แต่ก็ไม่ได้แต่งตามคอมเมนต์ของคนอ่านหมด เพราะเราก็มีพล็อตเรื่องของเรา สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้นักอ่านรู้สึกว่าสิ่งที่เราคิดมันดีกว่าสิ่งที่นักอ่านอยากให้เป็น มันยากนะ ตอนนี้ก็พยายามเขียนหลายแนว เพื่อท้าทายตัวเอง และให้เจาะได้หลายกลุ่มด้วย แล้วสุดท้ายเราก็จะรู้ว่าเราเหมาะกับการเขียนแบบไหน ตอนนี้นิยายที่แต่งหลัก ๆ เป็นนิยายไทย แต่เราอยากลองแต่งแนวจีนโบราณ เราก็ต้องไปศึกษาเพิ่มว่าแนวการแต่งตัวหรือวัฒนธรรมในยุคสมัยนั้นเป็นยังไง มันยากตรงถ้าคนอ่านติดภาพว่าเราแต่งสไตล์นี้ ถ้าเราเปลี่ยนแนว เขาจะยังตามมาอ่านไหม

 

ส่วนทักษะที่เอามาปรับใช้ด้วยกันได้ก็คือเรื่องของการตรวจสอบการใช้ภาษาและคำต่าง ๆ ให้ถูกต้อง เพราะงานประจำที่เคยทำก็ต้องตรวจดูความถูกต้องของข้อมูล การใช้ภาษา และตัวสะกดต่าง ๆ อยู่แล้ว เขียนนิยายก็เหมือนกัน เวลาเราตรวจคำบ่อย ๆ มันทำให้เรามองเห็นคำผิดง่ายขึ้น เร็วขึ้น รวมถึงทำให้เราเป็นคนช่างสังเกต และละเอียดรอบคอบมากขึ้น

 

 

ทำไมถึงชอบเขียนนิยาย?

เวลาเขียนนิยายมันเหมือนเราได้สร้างโลกของเราขึ้นมาเอง สามารถกำหนดให้ใครทำอะไรก็ได้ตามใจ คือเราเป็นคนจิตนาการเยอะมาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กเป็นคนชอบอ่านการ์ตูน ชอบคิดต่อให้เรื่องคนอื่นด้วยว่าอยากให้มันต่อแบบไหน หรือจบยังไงในสไตล์ของเราเอง ก็เลยคิดว่าถ้าได้คิดเรื่องที่เป็นของเราเองคงจะดี

 

คิดว่าคนอ่านชอบอะไรในนิยายเรา?

เท่าที่สังเกตมาคนอ่านจะบอกว่า ชอบภาษาที่เขียน เป็นภาษาที่ค่อนข้างพรรณนาเหมือนนิยายสมัยก่อน ซึ่งต้องยอมรับว่าสมัยนี้นิยายแชทดังนะ เราเคยลองเขียนแบบนั้นดูแต่ไม่รอด เพราะเราชอบแนวเขียนบรรยายมากกว่า อาจเพราะปกติเราชอบอ่านแนวบรรยายอยู่แล้วด้วย มันเลยซึมซับทำให้เราชอบการเขียนแบบบรรยายมากกว่าการที่ตัวละครจะพูดคุยกันอย่างเดียวทั้งเรื่อง

 

ตอนเขียนแรก ๆ ยังไม่มีคนอ่านท้อไหม กำลังใจที่ทำให้เขียนต่อคืออะไร?

ท้อ ตอนนี้ก็ยังท้ออยู่ จะเป็นทุกครั้งที่เปิดเรื่องใหม่ เพราะเวลาเปิดเรื่องใหม่ เราจะรู้สึกเหมือนเราเป็นนักเขียนหน้าใหม่ ขนาดไปแจ้งในเรื่องเก่าว่าเราเปิดเรื่องใหม่แล้ว คนเก่าที่เคยอ่านบางคนยังไม่ตามมาอ่านเลย เราก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันไม่ตรงใจเขารึเปล่า แต่สิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจคือคอมเมนต์ที่บอกว่าตามมาจากเรื่องนี้นะ สนุกทุกเรื่องเลย หรือบางคนที่ตามอ่านเราประจำก็จะมาโดเนทเงินให้บ่อย ๆ ซึ่งก็ไม่ได้เยอะอะไร แต่มันทำให้เรามีกำลังใจจะเขียนต่อ

 

กำลังใจของนักเขียนคือฟีดแบ็กของคนอ่านที่ชื่นชอบผลงานเรา สิ่งนึงที่เชื่อว่านักเขียนทุกคนเป็นคือถึงจะมีเป็นร้อยคอมเมนต์ชมว่าดี แต่ถ้ามีสักหนึ่งคอมเมนต์ที่ด่า เราก็เก็บไปคิดนะว่าทำไมคนอื่นชอบกันหมดแต่เขาไม่ชอบ จิตตกเหมือนกัน เพราะนักเขียนค่อนข้างอ่อนไหวกับคำวิจารณ์พอสมควร ส่วนตัวเคยเจอคอมเมนต์แย่ ๆ บอกว่าไม่ชอบเนื้อหาที่เราแต่ง และคิดว่าตอนต่อไปก็คงจะไม่ชอบ หรือบางคนก็บอกเราแต่งออกทะเลบ้าง ไม่ขอตามต่อแล้ว ช่วงแรกที่โดนเราโต้ตอบไปเลย แก้ต่างให้ตัวเอง แต่ช่วงหลัง ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่ามันคือเรื่องปกติของนักเขียนที่ต้องเจอ จากนั้นพอชินก็ปล่อยผ่านไปเลย

 

กำลังใจจากคนอ่านทำให้เราเขียนนิยายทุกวัน รวมถึงวันเสาร์อาทิตย์ด้วย ขนาดตอนติดโควิด-19 ไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็ยังต้องเขียน เพราะเรามีความรู้สึกว่ามีคนอ่านที่กำลังรอนิยายเราอยู่ เราไม่อยากให้เขาผิดหวัง แต่บอกเลยว่าตอนนั้นทรมานมาก เราไม่สบายขนาดไอไปสมองก็ยังต้องคิดนิยายไปด้วย แต่พอทำไปแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันดี เรื่องที่แต่งตอนนั้นเป็นเรื่องที่กระแสดีที่สุด คนชอบมากที่สุด เราก็รู้สึกคุ้มค่าเหนื่อย

 

 

การคิดงานไม่ออกเป็นเหมือนปัญหาที่มาคู่กับนักเขียน เป็นบ้างไหม และจัดการยังไง?

ถ้าพูดถึงเรื่องปัญหาคิดงานไม่ออก เราก็เป็นอยู่บ้าง วิธีแก้คือหาสาเหตุก่อนว่าเพราะอะไร เพราะอากาศร้อนไปไหม ถ้าร้อนไปอาจจะย้ายไปเขียนตอนกลางคืน แต่ถ้าเป็นเพราะเราเครียดอะไรบางอย่าง เราก็ต้องไปจัดการตัวเองก่อนถึงค่อยมาเขียนต่อ เพราะถ้าฝืนเขียน นิยายเรามันก็จะไม่โอเค วกไปวนมา ส่วนตัวเราชอบผ่อนคลายโดยการดื่มชาคาโมมายล์ มันช่วยให้สมองปลอดโปร่ง นอนหลับสบาย ถ้ารู้สึกเครียดจะรีบดื่มชาเลย มันรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วคิดงานได้

 

ได้เงินจากการเขียนนิยายทางไหนบ้าง?

เราจะได้เงินจาก 2 ช่องทาง คือ โพสต์นิยายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งจะมีระบบติดเหรียญรายตอน และทำเป็น E-book ขาย การติดเหรียญเราจะติดต่อเมื่อลงนิยายจนจบเรื่องแล้ว เพราะถ้าอัปเดตนิยายไปติดเหรียญไป เรากลัวคนที่เสียเงินมาอ่านแล้วไม่ชอบ หรือไม่เป็นแบบที่หวัง เขาก็อาจจะมาคอมเมนต์ไม่ดีให้เรา ส่วนตัวเราจะแต่งเรื่องให้จบก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยโพสต์ลงแพลตฟอร์มออนไลน์ทีละตอน เพื่อเป็นการไม่กดดันตัวเอง

 

ส่วน E-book ก็คือลงแบบที่เนื้อหาเสร็จสมบูรณ์แล้ว เพื่อที่นักอ่านคนไหนรอไม่ไหว อยากอ่านให้จบรวดเดียวก็กดเข้ามาซื้อได้เลยซึ่งการทำ E-book ก็ไม่ยาก เราแค่จัดหน้ากระดาษ ตรวจคำผิด จากนั้นเซฟเป็นไฟล์ Microsoft Word และ PDF ส่งให้ทาง MEB ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เราลงขาย เขาก็จะเอาไปตรวจสอบ และจัดการทำเป็นไฟล์ PDF และ EPUB ให้เรา จากนั้นนิยายเราก็จะได้ออนไลน์ ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้ทำหนังสือเป็นเล่ม เพราะการทำเล่มต้องมีการ Pre-order จากคนอ่าน ต้องมีขั้นต่ำ 50-100 เล่ม ซึ่งช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี รวมถึงการขนส่งค่อนข้างล่าช้า ทำให้มีฟีดแบ็กจากคนอ่านว่าอยากได้สะสมเป็นแบบ E-book

 

มีวิธีโปรโมตผลงานให้คนเข้ามาอ่านยังไง?

นอกจาก ReadAWrite ที่เป็นแพลตฟอร์มหลักที่เราใช้แล้ว เราก็จะไปลงในแพลตฟอร์มอื่นด้วยอย่าง ธัญวลัย, Fictionlog และ Dek-D แต่สามแพลตฟอร์มหลังไม่ได้ติดเหรียญ เราลงไว้เพื่อโปรโมตในหลาย ๆ ที่ พอโพสต์ใน ReadAWrite จบ ก็จะตามลบเรื่องนั้นในสามแพลตฟอร์มที่บอกไป เพื่อที่จะได้ขาย E-book และติดเหรียญใน ReadAWrite แทน สาเหตุที่ไม่ลงให้จบทุกแพลตฟอร์ม เพราะมีความรู้สึกว่าบางแพลตฟอร์มคนอ่านน้อยกว่า เหมาะไว้ใช้แค่โปรโมต รวมถึงมีโปรโมตใน Twitter และ Facebook Group กลุ่มนักอ่านนักเขียนด้วย

 

ทำไมถึงตัดสินใจออกจากงานมาทำตรงนี้เต็มตัว?

การเขียนนิยายทำให้เรามีรายได้พอ ๆ กับเงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าเราออกจากงาน เราน่าจะมีเวลาทุ่มเทกับการเขียนนิยายมากขึ้น มีเวลาทำเรื่องใหม่ ๆ ออกมา หาเงินได้เร็วขึ้น สุขภาพก็น่าจะโอเคกว่าการที่ต้องทำทั้งงานประจำและงานเขียนนิยายไปพร้อม ๆ กัน ไม่ต้องนอนดึกและมีวันที่ได้หยุด รวมถึงเรามีความสุขกับการเขียน และรู้สึกว่าตัวเองทำด้านนี้ได้ดี ทุกอย่างมันก็น่าจะออกมาดี

 

 

มีอะไรอยากบอกคนที่อยากเขียนนิยายเป็นอาชีพเสริม หรือลาออกจากงานประจำเพื่อยึดเป็นอาชีพหลัก?

สำหรับคนที่ทำเป็นอาชีพเสริมอยากให้มีวินัย เพราะการเขียนนิยายไม่ใช่งานที่เราถูกสั่งให้ทำ แต่เป็นงานที่เราต้องวางแผนเอง จัดการเวลาเอง มีความคิดสร้างสรรค์อย่างเดียวไม่พอ แต่การมีวินัยสำคัญมาก ๆ บางคนลาออกจากงานประจำมาเขียนนิยาย แต่ไม่มีวินัย ขี้เกียจ ก็ไม่รุ่ง รวมถึงการจัดการทางการเงินด้วย ถ้าเราดูแลรายรับรายจ่ายไม่ดี จนมีปัญหาเรื่องการเงิน มันก็อาจส่งผลกับการเขียนนิยายเราด้วย เพราะมันจะทำให้เกิดความเครียด ซึ่งสามารถส่งผลให้เราหัวตัน คิดงานไม่ออก

สุดท้ายนี้ ข้าวโอ๊ตทิ้งท้ายไว้ว่าสำหรับใครที่กำลังมีความคิดอยากออกจากงานประจำไปทำตามฝันแบบเขา ไม่ว่าจะออกไปทำอะไร อยากให้ประเมินก่อนว่างานประจำเราโอเคไหม เงินเดือนเป็นยังไง ถ้าโอเคอยากให้ทำงานประจำไปก่อนแล้วเอางานที่เราอยากทำเป็นอาชีพเสริม แต่ถ้าเจอปัญหาในงานประจำ รู้สึกว่าไม่มีเวลาให้ตัวเอง ทั้งเรื่องการดูแลสุขภาพหรือการได้ทำในสิ่งที่รัก ก็ให้ออกมาทำตามความฝัน แต่อยากให้เข้าใจว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเราเลย เพราะมันมีความเสี่ยงเยอะ ต้องมั่นใจว่าเรารับความเสี่ยงได้ในอนาคต ต้องมีเงินเก็บมากพอจะดูแลการเงินตัวเองได้ เราต้องประเมินความพร้อม และเตรียมตัวรับมือให้ดี

 

กำลังหางานที่ต้องใช้ทักษะด้านการเขียนอยู่ ดูตำแหน่งงานที่น่าสนใจได้ ที่นี่

 

 
JobThai Official Group
Public group · 200,000 members
Join Group
 

 

tags : career focus, jobthai, jobs, คนทำงาน, คนหางาน, งาน, หางาน, งานเขียน, นักเขียนนิยาย, career & tips, second job, งานฟรีแลนซ์, work from home



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม