ตลอดปี 2022 มีเหตุการณ์สำคัญ และเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ในบรรยากาศส่งท้ายปีแบบนี้ เราลองมาทบทวนกันว่าโลกของเรามีอะไรน่าสนใจบ้างทั้งในแง่มุมสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมและก้าวสู่ปี 2023 อย่างมั่นใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้อาจมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วยเช่นกัน
JobThai จะขอพาคนทำงานทุกคนย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์สำคัญในปี 2022 ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย!
ปี 2022 คงเป็นปีที่น่าจดจำไปอีกนานสำหรับคนที่สนใจในวงการกีฬาระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนบอลของประเทศอาร์เจนตินา หลังจากทีมชาติอาร์เจนตินาผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ครั้งล่าสุดได้ที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งอาร์เจนตินาเอาชนะฝรั่งเศสจากการดวลจุดโทษ 4-2 ประตู หลังจากที่เสมอกัน 2-2 ใน 90 นาทีแรก และ เสมอกัน 3-3 ในช่วงต่อเวลาจนครบ 120 นาที เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยทีเดียว
สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 22 นี้มีการมอบรางวัลให้กับผู้เล่นที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมตลอดทัวร์นาเมนต์ ได้แก่ Lionel Messi ได้รับรางวัลลูกบอลทองคำในฐานะผู้เล่นยอดเยี่ยม แถมยังทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้รางวัลนี้ถึง 2 สมัย โดยครั้งแรกที่ Messi ได้รางวัลเดียวกันนี้คือสมัยที่เขาพาทีมชาติอาร์เจนตินาเข้าชิงกับทีมชาติเยอรมนีในฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ ในขณะที่ Kylian Mbappe สตาร์ดังทีมชาติฝรั่งเศสก็ได้รางวัลดาวซัลโวสูงสุด เหมาคนเดียวไปทั้งหมด 8 ประตู ส่วนนักเตะอาร์เจนตินาก็กวาดรางวัลไปเพียบ ทั้งรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมที่ตกเป็นของ Emiliano Martinez และ E.J. Fernadez ที่ได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม
การเป็นแชมป์ในปีนี้ของอาร์เจนตินา ถือเป็นการครองเเชมป์สมัยที่ 3 หลังจากที่เคยได้แชมป์มาแล้วในปี 1978 และปี 1986 นับเป็นเวลา 36 ปีที่แฟนบอลของขุนพลฟ้าขาวต่างเฝ้ารอคอย และยังทำให้ Lionel Messi นักเตะที่โด่งดังที่สุดของทีมได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกและนำพาอาร์เจนตินากลับมาเป็นมหาอำนาจของวงการลูกหนังโลกได้อีกครั้ง หลังเคยยิ่งใหญ่มาก่อนในยุคของตำนานผู้ล่วงลับอย่าง Diego Maradona
ถ้าพูดถึง Talk of the Town แห่งวงการธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเทคโนโลยี ในปีนี้คงไม่มีข่าวไหนดังเท่ากับการปิดดีลซื้อกิจการ Twitter โดย Elon Musk นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จมาแล้วกับการบริหารบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Paypal, SpaceX และ Tesla โดยเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Elon Musk ได้ยื่นซื้อกิจการของ Twitter ด้วยมูลค่ารวมสูงถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท) พร้อมให้เหตุผลของการซื้อ Twitter ว่าอยากให้แพลตฟอร์มนี้เป็นอิสระจากการความเกลียดชังและความแตกแยก และตั้งเป้าว่าอยากให้ Twitter เป็นเหมือนพื้นที่สาธารณะในโลกออนไลน์ที่เปิดกว้างให้ผู้คนเข้ามาร่วมพูดคุยคุยและแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีในประเด็นสำคัญทางสังคม
อย่างไรก็ตามสิ่งแรกที่ Elon Musk ทำหลังได้เป็นเจ้าของ Twitter อย่างเป็นทางการคือการปลดผู้บริหารออกหลายคน ได้แก่ Parag Agrawal ตำแหน่ง CEO, Ned Segal ตำแหน่ง CFO และ Vijaya Gadde ที่เป็นผู้บริหารด้านกฎหมายและนโยบายของ Twitter โดยอ้างว่าพวกเขาบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งานปลอมที่เป็นบอต (Bot Accounts) ซึ่งส่งผลต่อการประเมินมูลค่ากิจการ เท่านั้นยังไม่พอเขายังได้ออกนโยบายใหม่ที่ทำให้เกิดความระส่ำระสายกันทั้งบริษัท อาทิ การปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก การยกเลิกนโยบาย Work from Home อย่างเด็ดขาด โดยให้พนักงานต้องกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเป็นเวลาอย่างน้อย 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบางแผนกที่มีงานเร่งด่วน พนักงานอาจต้องทำงานเป็นกะมากถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ คิดเป็นเวลารวมถึง 84 ชั่วโมง ยังไม่นับเรื่องที่ Elon Musk โพสต์ลง Social Media ว่าจะทำงานและนอนที่สาขาใหญ่ของบริษัท จนกว่าการปรับปรุงองค์กรจะเข้าที่เข้าทางและเป็นไปตามที่เขาพึงพอใจ
จะว่าไปแล้วนิสัยทำงานหามรุ่งห้ามค่ำนี้เป็นเอกลักษณ์ติดตัว Elon Musk ไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้ เขาก็เคยต้องนอนที่โรงงานเพื่อช่วยพนักงานแก้ไขปัญหาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla เช่นเดียวกับสมัยที่เขาก่อตั้ง Zip2 บริษัทซอฟต์แวร์ร่วมกับน้องชายของเขา โดยพวกเขาเลือกที่จะนอนที่บริษัทและทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ด้วยการเปิดให้บริการเว็บไซต์ในตอนกลางวันและเขียนโปรแกรมเพื่อพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องในตอนกลางคืน Elon Musk มองว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้พนักงานเห็นว่าในช่วงเวลาที่บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน เขาก็พร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อม ๆ กับพนักงาน ทีมงานของเขาเหนื่อยแค่ไหน เขาก็ต้องเหนื่อยเหมือนกันหรือเหนื่อยมากกว่าด้วยซ้ำไป ทว่าวัฒนธรรมการทำงานแบบทุ่มสุดตัวแบบที่ Elon Musk คาดหวังนั้นไม่ได้เหมาะกับพนักงานทุกคน ทำให้พนักงาน Twitter ยอมลาออกจำนวนมาก และน่าจะส่งผลต่อทิศทางการบริหารบริษัทต่อไปในอนาคต
นอกจาก Twitter แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงไม่น้อยเหมือนกัน เห็นได้จากตัวอย่างของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Microsoft และ Meta ของ Mark Zuckerberg ที่ต้องจำใจปลดพนักงานออกบางส่วนเพื่อจัดการกับปัญหาการขาดทุนและโฟกัสกับธุรกิจที่จะสร้างกำไร หรือแม้แต่บริษัทสื่อบันเทิงชื่อดังอย่าง Disney เองก็ยังต้องชะลอการจ้างงานและหั่นงบประมาณในส่วนที่ฟุ่มเฟือยอย่างค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงานออกและเน้นการประชุมออนไลน์เป็นหลักแทนเพื่อเป็นการลดต้นทุน ในปีหน้าโลกธุรกิจจะมีอะไรเปลี่ยนไปอีกบ้าง เราคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
เมื่อพูดถึงเรื่องธุรกิจไปแล้ว ก็ขอต่อด้วยเรื่องเศรษฐกิจกันสักหน่อย โดยเรื่องที่ได้รับความสนใจจากผู้เชี่ยวชาญในวงการเศรษฐกิจและการเงินก็คือปัญหาเงินเฟ้อที่ส่อแววซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปราะบางเพราะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบของโรคโควิด-19 โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมประจำปีระหว่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งนางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการ IMF และนายเดวิด มัลพาส ประธาน ธนาคารโลก ได้ออกมาเตือนให้ทุกประเทศจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกให้ดี เพราะนอกจากปัญหาในปีนี้แล้วภายในปี 2023 นั้นมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในขณะที่เงินเฟ้อก็ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ
นอกจากนี้ IMF ยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2023 จากเดิมที่ระดับ 2.9% มาอยู่ที่ 2.7% ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2001 โดยอ้างอิงตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Outlook ในปีนี้ ทำให้หลายประเทศต้องเตรียมรับมือกับปัญหาทางการเงินอย่างรัดกุม ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีการวิเคราะห์กันว่าการขยายตัวของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีนจะชะลอตัวลง ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐกิจโลกมากกว่า 1 ใน 3 ของประเทศต่าง ๆ จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจหดตัวในปีนี้หรือปีหน้า นั่นหมายถึงมีการเติบโตลดลง 2 ไตรมาสต่อเนื่องกันเลยทีเดียว
ด้านภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกจะแตะจุดสูงสุดในช่วงปลายปีนี้ โดยจะแตะระดับ 8.8% จากระดับ 4.7% ในปี 2021 ก่อนที่จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 6.5% ในปี 2023 และแตะ 4.1% ในปี 2024 ทั้งนี้ IMF มองว่าส่วนหนึ่งของเงินเฟ้อที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษนั้น เป็นผลจากความเข้มงวดของนโยบายการเงินทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว โลกก็ยังมีปัจจัยความขัดแย้งระหว่างประเทศในเชิงภูมิรัฐศาสตร์อย่างการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน รวมไปถึงภัยธรรมชาติและผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นและยากจะคาดเดาจนอาจซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเงินของบางประเทศให้เลวร้ายกว่าเดิมก็เป็นได้
ทิ้งท้ายด้วยประเด็นของวงการ Cryptocurrency ที่ผันผวนไม่แพ้วงการการเงินแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นการร่วงของสกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Bitcoin หรือวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มเทอร์รา (Terra) ที่ทำให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมือนความหวังใหม่กลายเป็นฝันร้ายของนักลงทุนหลาย ๆ คนในปี 2022 ฟังแบบนี้แล้วคนทำงานอาจต้องเพิ่มความรอบคอบมากขึ้นก่อนก่อนตัดสินใจลงทุน หรือทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ในปี 2023
เป็นเวลาสามปีเต็มที่เราต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความวิตกกังวลของการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในช่วงเริ่มแรกที่ประเทศต่าง ๆ ได้ออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค แต่ก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนไม่น้อย กระทั่งการพัฒนาวัคซีนคืบหน้าไปมากจนสามารถป้องกันและบรรเทาผลกระทบของการติดเชื้อได้ ในปีนี้เราจึงได้เห็นสัญญาณที่ดีที่ชี้ว่าโลกกำลังจะกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ทั้งนี้ หลายประเทศในโลกต่างก็สูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวไปจำนวนมาก การเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวจึงเป็นอีกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศเลือกใช้ จากข้อมูลของ Statista Q บริษัทวิจัยตลาดในเยอรมนี ชี้ว่าการท่องเที่ยวทั่วโลกในปี 2565 กำลังฟื้นตัวและคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ได้ในปี 2567
แม้ต้นปี 2022 จะมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน แต่หลายประเทศก็มั่นใจในการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าในประเทศและทยอยผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นมา โดยประเทศเหล่านั้น ได้แก่ กรีซ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย โดยความพร้อมของแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับศักยภาพในการจัดการกับโควิด-19 และการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามหลายประเทศที่ทำการตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในช่วงนี้ ยังไม่อาจฝากความหวังไว้กับนักท่องเที่ยวจีนได้ เพราะประเทศจีนยังไม่เปิดให้พลเมืองเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ และยังมีการกลับมาระบาดซ้ำในหลายพื้นที่สำคัญของประเทศ
นอกจากนี้การเปิดประเทศอาจเผชิญปัญหาสำคัญอย่างการการขาดแคลนแรงงานภาคบริการ เช่น ในกลุ่มประเทศยุโรปพบปัญหาขาดแคลนแรงงานในสนามบิน เพราะในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 มีการปลดพนักงานบนเครื่องบินและพนักงานภาคพื้นในสนามบินจำนวนมากถึง 191,000 คนทั่วยุโรป เมื่อมีการเปิดประเทศ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดภาวะพนักงานไม่เพียงพอต่อการดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพิ่มมากขึ้นหลังห่างหายจากการเดินทางไปนาน แถมยังมีปัญหาค่าตอบแทนที่ลดลง ทำให้พนักงานที่ยังทำงานอยู่ประท้วงหยุดงานบ่อยครั้ง นำไปสู่การยกเลิกเที่ยวบินสะสมในยุโรปถึง 64,100 เที่ยวบิน ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา
แม้การระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเนื่องและยาวนาน และทำให้ทั่วโลกฟื้นตัวได้ช้า แต่อย่างน้อยในปีนี้เราก็ได้เห็นพัฒนาการและการฟื้นฟูที่ดีขึ้นมาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุข เห็นได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น และการที่ประชาชนที่ได้รับวัคซีนแล้วเกือบทั่วโลกสามารถกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการระบาด ทั้งสองปัจจัยนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีและมีแนวโน้มจะดีขึ้นต่อไปในปี 2023
สำหรับคอภาพยนตร์ต่างประเทศหรือคนที่ติดตามข่าวสารวงการบันเทิงของสหรัฐอเมริกาเป็นประจำ คงพอจำกันได้ว่าเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเกิดข่าวดังช็อกโลกขึ้น เมื่อนักแสดงชื่อดังอย่าง Will Smith ตบหน้า Chris Rock ดาวตลกและพิธีกรในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94 เพราะ Chris Rock เผลอไปเล่นมุกตลกล้อเลียน Jada Pinkett Smith ภรรยาของเขา จนกลายเป็นไวรัลไปทั่วทุก Social Media แน่นอนว่า Will Smith ถูกวิพากษ์วิจารณ์ยกใหญ่ทั้งจากคนในวงการและในโลกออนไลน์ว่าใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แถมการกระทำนี้ยังถูกถ่ายทอดสดไปทั่วโลกและถูกสื่อแทบทุกสำนักเล่นข่าวนี้กันหมด แทบจะกลบกระแสข่าวที่เขาได้รับรางวัลออสการ์ครั้งแรกในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง King Richard นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคมในฐานะที่เขาเป็นบุคคลสาธารณะ อย่างไรก็ตามในภายหลัง Will Smith ได้ออกมาแสดงความเสียใจถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขาในคืนวันงานและขอโทษ Chris Rock ออกสื่อ โดยให้เหตุผลว่าหลังจากที่เขาได้ยินมุกที่ไม่ให้เกียรติภรรยาที่กำลังป่วยอยู่ทำให้เขาอารมณ์อ่อนไหวและตอบโต้ด้วยการกระทำที่รุนแรงเกินสมควร
แม้เรื่องราวจะจบลงไปแล้ว แต่ Will Smith ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาจากการกระทำของเขา เหตุการณ์นี้ทำให้เขาถูกห้ามเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลออสการ์เป็นเวลา 10 ปี และถูกค่ายหนังหลายค่ายยกเลิกและเลื่อน Project ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับเขาหลายเรื่อง การใช้อารมณ์และความรุนแรงในการตัดสินปัญหาจึงถือเป็นบทเรียนราคาแพงให้กับเขาไปตลอดชีวิตการเป็นนักแสดงเลยก็ว่าได้
เมื่อพูดถึงข่าวการเมืองระหว่างประเทศในปีนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องหนัก ๆ อย่างการทำสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างประเทศยูเครน-รัสเซีย ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น โดยเหตุการณ์นี้เริ่มจากการที่รัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าบุกยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยอ้างว่าเป็นปฏิบัติการพิเศษทางทหาร และการตอบโต้เพื่อปกป้องความมั่นคงของตนจากการขยายอิทธิพลของชาติตะวันตกและ NATO และแม้จะได้รับชัยชนะบางจุดอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วันหลังเริ่มสงคราม แต่กองทัพรัสเซียก็ยังไม่สามารถบุกเข้าควบคุมกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนได้ ส่งผลให้สงครามยืดเยื้อจนถึงวันนี้
นอกจากการสูญเสียของกำลังพลของทั้งสองประเทศแล้ว ผลกระทบของสงครามครั้งนี้ยังทำให้ประชาชนยูเครนกว่า 13 ล้านคน ต้องอพยพหนีการสู้รบข้ามชายแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นับเป็นวิกฤตผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบอันดับต้น ๆ ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ความไม่สงบของประเทศจึงส่งผลต่อกำลังการผลิตและส่งออกน้ำมันของรัสเซียโดยตรง เมื่อปริมาณน้ำมันดิบลดลงจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่งผลให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น นอกจากนี้รัสเซียยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่โลหะรายใหญ่ของโลก แถมยังเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ยังไม่นับว่ายูเครนเองก็เป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดที่มีความสำคัญกับตลาดโลกเช่นเดียวกัน
ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศในทวีปยุโรปอาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับบ้านเรา แต่ในโลกที่เศรษฐกิจของแต่ละประเทศต้องพึ่งพาอาศัยกัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสงครามนี้จึงสะเทือนถึงเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน เพราะการบุกของรัสเซียทำให้สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อังกฤษ และอีกหลายประเทศประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียในด้านต่างๆ อาทิ ห้ามส่งออกสินค้าเทคโนโลยีไปรัสเซีย ห้ามบริษัทของรัสเซียขอสินเชื่อและเข้าถึงเงินสกุลต่างประเทศ อายัดสินทรัพย์ส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซีย รวมไปถึงลดการนำเข้าสินค้าพลังงานจากรัสเซีย แน่นอนว่าเมื่อการค้าและเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจเหล่านี้สะดุด ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นทอด ๆ เช่นกัน
ในปีหน้าถ้าสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่จบจะทำให้ราคาสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ส่วนประเทศไทยของเราอาจโดนลูกหลงผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น ธุรกิจก่อสร้าง ภาคขนส่ง โรงกลั่นน้ำมัน การขนส่งทางเรือ และอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากสินค้าโลหะและพลังงาน
เช่นเดียวกับทุก ๆ ปี ในปี 2022 นี้ ก็มีทั้งสิ่งที่น่าจดจำและเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับโลกของเราและอาจส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อชีวิตของคนทำงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหน ๆ JobThai ก็ขออาสาเป็นผู้นำเสนอสาระที่เป็นประโยชน์กับการพัฒนาตัวเองให้กับคนทำงาน และก้าวสู่ความสำเร็จในอาชีพและในชีวิตไปด้วยกัน
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน
ที่มา:
aljazeera.com, bangkokbiznews.com, bbc.com, bloomberg.com, bot.or.th, businessinsider.com, cnn.com, esquire.com, fourfourtwo.com, krungsri.com, marketeeronline.co, nbcnews.com, posttoday.com, searchenginejournal.com, thansettakij.com, theguardian.com, thematter.co, thestandard.co, yahoo.com