เคยมีความรู้สึกนี้ไหม เวลาที่เจอ “เพื่อนร่วมงานคนนั้น” ทีไร รู้สึกเหมือนหมดพลัง เหนื่อยจิต เพลียใจตลอดเวลาที่คุยด้วย เพราะเป็นเพื่อนร่วมงานแบบที่สูบเอาพลังชีวิตของเราไปราวกับแวมไพร์ดูดเลือด คนเหล่านี้ถูกนิยามว่าเป็น “Energy Vampire” หรือ “แวมไพร์ดูดพลังชีวิต” นั่นเอง
ถึงทุกวันนี้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าแวมไพร์ดูดเลือดนั้นมีจริงไหม แต่ที่มีจริงแน่ ๆ คือแวมไพร์ดูดพลังชีวิตซึ่งแฝงกายอยู่ได้ทุกที่ แม้แต่ในที่ทำงาน ซึ่งคนเหล่านี้อาจทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นลบและอาจสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ Toxic ได้ และไม่แน่ว่าอาจสร้างผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวมขององค์กรอีกด้วย โดย Energy Vampire นั้นมีรูปแบบการแสดงพฤติกรรมหลากหลายและแตกต่างกันออกไป วันนี้ JobThai จะพาไปรู้จักกับแวมไพร์ประเภทนี้ และไปดูวิธีป้องกันไม่ให้แวมไพร์เหล่านี้ดูดพลังชีวิตของเราไป
Jenna Miller หัวหน้าฝ่ายเจ้าหน้าที่ของ Betterworks กล่าวไว้ว่าเราจะสามารถสังเกตได้ว่าในบริษัทหรือในทีม มีพนักงานที่เป็น Energy Vampire อยู่ ถ้าพนักงานแสดงพฤติกรรมดังต่อไปนี้
- พนักงานคนนี้บ่นอย่างต่อเนื่อง คุยด้วยแล้วเสียพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงาน เพื่อนร่วมงาน หรือสถานที่ทำงานก็ตาม แถมนอกจากเขาจะบ่นแล้ว เขายังไม่มีการเสนอวิธีแก้ไขใด ๆ ให้อีกด้วย นอกจากนี้ เขาอาจเป็นคนแบบที่อยากรับบทเป็นคนควบคุมบทสนทนา และพูดขัดคนอื่นในระหว่างการสนทนา
- พนักงานคนนี้ชอบเรื่องดราม่าและชอบซุบซิบนินทา ซ้ำร้าย บางครั้งคนเหล่านี้ยังเป็นต้นเหตุของเรื่องดราม่าซะเองด้วย จนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง และมักทำงานให้น้อยที่สุดและเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- พนักงานคนนี้มองโลกในแง่ลบเสมอ มองอะไร ๆ ก็เจอแต่ปัญหา
- พนักงานคนนี้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงและจะทำอะไรก็ตามเพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง บางครั้งอาจถึงขั้นขัดขวางคนที่กำลังพยายามจัดการการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย
- พนักงานคนนี้ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ส่งงานเลทจนเกิดผลกระทบต่อโปรเจกต์และต่อผลลัพธ์ที่ออกมาของทีม
Energy Vampire มีหลากหลายรูปแบบ เพราะมันก็มีพฤติกรรมและการกระทำหลายแบบที่สูบเอาพลังชีวิตไปจากผู้พบเห็นได้ และไม่แน่ว่าเราอาจพบพฤติกรรมหลาย ๆ แบบนี้อยู่ในคนคนเดียวอีกด้วย โดยจะขอยกตัวอย่างจากรูปแบบที่มักพบเห็นบ่อย ๆ ดังนี้
- The Complainer (แวมไพร์สายบ่น)
- คนที่บ่นเกี่ยวกับงาน เพื่อนร่วมงาน และชีวิตประจำวัน เห็นแต่ด้านลบในทุกสถานการณ์ และแทบไม่เคยเสนอวิธีแก้ไข
- The Drama Queen/King (แวมไพร์สายดราม่า)
- คนที่ชอบสร้างหรือขยายความขัดแย้ง นินทา และดราม่าในที่ทำงาน มักทำให้เรื่องเล็ก ๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่
- The Victim (แวมไพร์สายรับบทเหยื่อ)
- คนที่โทษคนอื่นหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อเกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และไม่ค่อยรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง
- The Resistor (แวมไพร์สายขวาง)
- คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงหรือนวัตกรรมในที่ทำงาน สร้างความขัดแย้งในทีมและขัดขวางความก้าวหน้า
- The Pessimist (แวมไพร์สายมองลบ)
- คนที่มองโลกในแง่ลบเสมอ พูดหรือแสดงการกระทำที่ทำให้คนรอบข้างหมดกำลังใจ
- The Know-It-All (แวมไพร์สายวางตัวว่ารู้ไปหมดทุกอย่าง)
- คนที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง และมักปฏิเสธความคิดเห็นของคนอื่น ซึ่งอาจทำให้ความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกันหยุดชะงัก
- The Constant Talker or Joke Teller (แวมไพร์สายจ้อ ยิ่งมุกกระหน่ำ)
- คนที่ชอบชวนคุยสนุก เล่นมุกให้ฟัง บางทีฟังคนเหล่านี้พูดแล้วก็ตลกดี แต่ไปไปมามา กลายเป็นว่าเขาเอาแต่พูดและเล่นจนเราไม่มีสมาธิทำงาน แถมยิ่งต้องฟังไปเยอะ ๆ หูก็เริ่มชา
- The Dependant (แวมไพร์สายหวังพึ่งแต่เธอ)
- คนที่มักจะต้องการความช่วยเหลือ อาจเกิดจากการกลัวทำผิดพลาดจนต้องคอยถาม คอยให้เราช่วยจัดการ จนเบียดบังเวลาทำงานของเราเอง ซึ่งเราอาจแสดงให้เขาเห็นว่าเราทำได้เพียงแนะนำบางอย่างกับเขา เช่น แนะนำว่า “คนนี้น่าจะรู้นะ” “ข้อมูลนี้อาจจะต้องหาเพิ่มจากแหล่งนี้นะ” แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาจะต้องจัดการมันด้วยตัวเอง
การมีเพื่อนร่วมงานเป็น Energy Vampire ทำให้เราสูญเสียพลังงาน ดังนั้นเราจึงต้องสังเกตให้มากขึ้นว่าพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเป็น Energy Vampire กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเราแล้วนะ ซึ่งถ้าสิ่งที่เขาพูดมาไม่ได้เกี่ยวกับงาน ไม่ได้ช่วยให้งานออกมาดีขึ้น ก่อนอื่นให้เราสงบอกสงบใจ แล้วถอยตัวเองออกมา มองตัวเองเป็นคนนอกของเรื่องราวนี้ ไม่หยิบเอามาใส่ใจ เพราะจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องอินกับเรื่องนี้ขนาดนั้นก็ได้ หน้าที่ของเราคือมาทำงานให้เต็มที่ในแต่ละวัน เท่านั้นพอแล้ว
เราจะต้องมีขอบเขตที่ชัดเจนภายในใจ และไม่ปล่อยให้พฤติกรรมต่าง ๆ ของเพื่อนร่วมงานคนนี้มาส่งผลกระทบหรือทำให้เราเสียงาน ฝึกพูดสื่อสารและบอกปฏิเสธให้เป็น เช่น ถ้าเราเจอแวมไพร์แบบที่เอาแต่ชวนคุยไปเรื่อยและเริ่มรบกวนการทำงานของเรา เราก็ต้องกล้าขัดจังหวะคนเหล่านี้แล้วบอกไปตรง ๆ ว่าเราขอกลับมาโฟกัสกับงานต่อก่อนนะ และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับการปฏิเสธใคร ไม่ต้องกังวลว่าเราเป็นคนที่แย่รึเปล่าที่เราไม่ฟังเขาพูด เราสามารถสื่อสารกับเขาอย่างใจเย็นได้ เพราะความสุภาพกับความเด็ดขาดคือ 2 สิ่งที่สามารถอยู่ร่วมกันได้
ถ้าเรากำหนดขอบเขตของตัวเองแล้ว Energy Vampire คนนั้น ๆ เข้าใจก็ถือว่าดีไป แต่มันก็อาจจะมีบางคนที่ไม่เข้าใจเราและเริ่มแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น ท่าทีต่อต้าน หรือพูดให้เรารู้สึกเหมือนว่าเราทำผิดร้ายแรงเพียงเพราะไม่ฟังเขา ซึ่งถ้าเราแสดงความรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปและมองว่าตัวเองเป็นคนใจร้าย สุดท้ายมันก็จะวนกลับมาเป็นแบบเดิมคือเราจะหนีจากเขาไม่พ้นซะที ดังนั้นให้จำไว้เสมอว่าเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาทำตัวไม่ดีกับใคร แต่เรามาที่นี่เพื่อทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทำงานให้สำเร็จลุล่วง และยืนหยัดกับการกระทำของตัวเอง ดังนั้นเรามีสิทธิ์ที่จะปกป้องเวลาและรักษาพลังงานของตัวเองเพื่อเอาไปใช้กับงานให้เต็มที่
นอกจากเราจะต้องสังเกตบรรยากาศและผู้คนรอบตัวในที่ทำงานแล้ว ก็อย่าลืมสังเกตตัวเอง รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง รู้ว่าเรากำลังส่งเอเนอจี้แบบไหนไปหาคนอื่น ลองดูว่าเราเผลอทำอะไรที่เข้าข่ายพฤติกรรมการเป็น Energy Vampire รึเปล่า ซึ่งตอนนี้ที่เราได้รู้แล้วว่าพฤติกรรมแบบไหนที่เข้าข่ายการดูดพลังคนอื่น ๆ ก็พยายามหลีกเลี่ยงและอย่าทำ รู้จักสังเกตคู่สนทนาของเราเยอะ ๆ ว่าเขามีท่าทีที่ดูเปลี่ยนไปไหมเมื่อคุยกับเรา เขาดูเหนื่อยกับการฟังเราพูดรึเปล่า เขาพยายามเลี่ยงการคุยกับเราไหม
นอกจาก Energy Vampire จะสร้างความหนักใจให้กับเพื่อนร่วมงานด้วยกันแล้ว ยังสามารถสร้างผลกระทบรวม ๆ ต่อทีมได้อีกด้วย ซึ่งพลังลบนั้นสามารถแพร่กระจายได้ทั่วทีม นำไปสู่การลาออก และทำให้คนเก่ง ๆ เริ่มอยากมองหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีกว่า ดังนั้น ถ้าเราเป็นหัวหน้าที่ต้องดูแลทีมที่มี Energy Vampire แฝงตัวอยู่ด้วย เราก็จำเป็นที่จะต้องรู้จักจัดการกับปัญหาและหาทางออกให้กับคนทั้งทีมให้ได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้องค์กรต้องเสียคนเก่งไปเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร โดยสามารถทำตาม 4 ขั้นตอนเหล่านี้ได้
-
หัวหน้าควรรู้ว่าใครคือ Energy Vampire ของทีมของเรา โดยควรจะหาโอกาสพูดคุยสื่อสารกับคนในทีมทุกคนอยู่เรื่อย ๆ เพื่อสังเกตพฤติกรรม บรรยากาศ และอาจรวมไปถึงความขัดแย้งภายในทีมอย่างต่อเนื่อง เพื่ออัปเดตความเป็นไปภายในทีม ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา เพราะถ้าเราเก็บไว้คุยทีเดียวตอนประเมินประจำปี มันก็อาจไปถึงจุดที่สายเกินที่จะแก้ไขแล้วก็ได้
-
เมื่อเรารู้แล้วว่าใครที่ดูมีแนวโน้มว่าจะเป็น Energy Vampire ไม่ว่าจะด้วยการที่เราสังเกต หรือการที่ลูกทีมคนอื่น ๆ ชี้ตัวให้เราเห็น เราในฐานะหัวหน้าจะต้องให้ความเป็นธรรมกับคนคนนั้นด้วย โดยต้องให้เขาได้พูดในมุมของตัวเอง ให้ได้อธิบายว่าตอนนี้เขากำลังต้องเผชิญปัญหาอะไรอยู่บ้าง เพราะบางครั้งปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตก็อาจเป็นที่มาของพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเป็น Energy Vampire ดังนั้นการเปิดใจรับฟังก็จะช่วยให้เราเข้าใจหัวอกของเขามากขึ้น
-
ความไม่รู้ชัดเจนเกี่ยวกับงาน ความเปลี่ยนแปลง ขอบเขตหน้าที่ และเป้าหมาย อาจทำไปสู่การเป็น Energy Vampire บางประเภทได้ เช่น บางคนกลายเป็น The Resistor (แวมไพร์สายขวาง) ที่ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลง หรือประเภท The Dependant (แวมไพร์สายหวังพึ่งแต่เธอ) ที่มักต้องการให้คนอื่นช่วยเหลืออยู่เรื่อย ๆ และเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ คนเป็นหัวหน้าจึงควรช่วยลูกทีมตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลกับการทำงาน สื่อสารให้ชัดเจนเกี่ยวกับความคาดหวังที่มีต่อลูกทีมในด้านพฤติกรรมที่ต้องการจะเห็น และส่งเสริมให้คนทำงานที่เป็น Energy Vampire ลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตังเอง และลุกขึ้นมาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำต่าง ๆ ของตัวเอง
-
เราจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในทีมและในตัวบุคคลได้จากการที่เราคอยติดตามผลอยู่เสมอ ดังนั้นนอกจากจะต้องนัดพูดคุยกับคนในทีมเพื่อติดตามความคืบหน้าของลูกทีม ซัปพอร์ต และเสนอช่วยในสิ่งที่เราช่วยได้แล้ว เราต้องคอยสังเกตทีมตัวเองอยู่เสมอว่าพลังงานลบมีแนวโน้มที่จะลดลงไปบ้างไหม ซึ่งถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเจ้าตัวยังไม่ได้ปรับปรุงอะไรไป หลังจากที่ได้พูดคุยปรับมุมมองกันไปแล้ว เราก็อาจจะต้องยกระดับการแก้ปัญหาให้เด็ดขาดยิ่งขึ้น เช่น อาจต้องเรียกมาตักเตือนและจับตาดูความเปลี่ยนแปลง หรือถ้าพฤติกรรมของเขาสร้างความเดือดร้อนต่อทีมในระดับที่เกินการควบคุมก็อาจจะต้องแจ้งไปยังฝ่าย HR ให้เข้ามาช่วยดูแล
"Energy Vampire" เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เปรียบเสมือนกับแวมไพร์ที่ดูดพลังชีวิตของเราไป เวลาคุยด้วยแล้วรู้สึกเหนื่อยใจ เพลียจิต ยิ่งถ้าเจอในที่ทำงานซึ่งเป็นสถานที่หลักที่เราใช้เวลาในแต่ละวันมากที่สุด มันก็จะยิ่งทำให้เราหมดเรี่ยวแรง เราจึงต้องรู้จักสังเกตพฤติกรรมของคนรอบตัวเราว่าเขามีการกระทำที่เข้าข่ายว่าจะทำให้เราเพลียใจรึเปล่า เช่น เขาเอาแต่พูดบ่น หรือส่งเอเนอจี้ลบ ๆ ออกมารึเปล่า และเมื่อเจอตัวแวมไพร์ในที่ทำงานแล้วก็ต้องรู้จักรับมือด้วยความใจเย็น มีเหตุผล และยึดมั่นในจุดยืนของตัวเองว่าเราตั้งใจมาทำงานของเราให้ดีที่สุดในแต่ละวันและไม่จำเป็นต้องยอมให้การกระทำของคนอื่นมาขัดขวางความตั้งใจ ส่วนคนที่เป็นหัวหน้างานแล้วเจอลูกทีมที่เป็น Energy Vampire ก็ขอให้รับมือด้วยความใจเย็น รับฟังอย่างเปิดใจ พูดคุยกันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความคาดหวังที่มีต่อเขาในที่ทำงาน และคอยติดตามผลอยู่อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อเรารู้เท่าทันพฤติกรรมและรับมือกับแวมไพร์เหล่านี้ได้อย่างที่เหมาะสม บรรยากาศในการทำงานก็จะกลับมาดียิ่งขึ้นได้
ที่มา:
forbes.com
drjudithorloff.com
melodywilding.com