ปัญหาใหญ่ที่เด็กจบใหม่ต้องเจอคือการที่บริษัทต้องการแต่คนที่มีประสบการณ์ทำงานซะส่วนใหญ่ แล้วเราเพิ่งจบมาใหม่จะไปเอาประสบการณ์ที่ไหน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีโอกาสได้งานเลย ดังนั้นวันนี้ JobThai เลยมาบอกน้อง ๆ เด็กจบใหม่ที่กำลังหางานอยู่แต่ขาดประสบการณ์ว่าต้องทำยังไงให้ตัวเองมีโอกาสได้งานมากขึ้น
ถึงเราจะสมัครงานในบริษัทที่ยินดีรับเด็กจบใหม่ หรือคนไม่มีประสบการณ์ แต่ต้องอย่าลืมว่าเราก็ยังคงมีคู่แข่งอีกมากมายที่อาจจะเป็นต่อเราด้วยประสบการณ์การทำงานที่มากกว่า ดังนั้นด่านแรกมันก็ต้องสู้กันด้วย Resume และ Portfolio ลองศึกษาว่าตำแหน่งงานนั้นทำอะไรบ้าง และบริษัทนั้นทำสินค้าหรือบริการอะไร จากนั้นคัดทักษะ ความสามารถ คุณสมบัติ และผลงานของเราที่ตรงตามที่บริษัทเขาต้องการ แล้วใส่ลงไปใน Resume และ Portfolio นอกจากนั้นอาจจะลองทำผลงานขึ้นมาใหม่ เช่น ถ้าเราสมัครตำแหน่งกราฟิกในบริษัทขายรองเท้า เราก็ลองทำโปสเตอร์โปรโมตรองเท้าแล้วใส่ไป Portfolio ดูก็ได้ เพราะเวลาบริษัทเลือกคนเข้ามาทำงาน แน่นอนว่าเขาก็คงอยากได้คนที่ตั้งใจอยากทำกับเขาจริง ๆ
การมีผลงานที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาต้องการ มันทำให้เขาเห็นภาพในอนาคตว่าเราจะสามารถทำงานกับเขาได้ รวมถึงการทำชิ้นงานขึ้นมาใหม่เพื่อบริษัทเขาโดยเฉพาะ ไม่มีใครไม่ปลื้มหรอก อย่าไปคิดว่าเสียเวลาถ้าทำไปแล้วไม่ได้งาน เพราะมันคือการได้ฝึกตัวเอง รวมทั้งมีผลงานใน Portfolio เยอะขึ้นด้วย
ในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นมีประสบการณ์การทำงานหลายปี แต่ประสบการณ์เรากลับมีศูนย์ ก็อย่าเพิ่งรู้สึกหมดหวังว่าจะไม่ได้งาน ถ้าเราสู้ผู้สมัครคนอื่นไม่ได้เพราะประสบการณ์การทำงาน เราก็สู้ด้วย Personal Brand หรือการสร้างตัวตนให้เป็นที่น่าจดจำของ HR
โดยอย่างแรกคือเราต้องมองตัวเองให้ขาดว่าสรุปแล้วเราเด่นด้านไหน และอยากเอาด้านไหนของเราไปขาย เช่น ไม่ว่าเราจะเรียนอยู่มัธยมหรือมหาวิทยาลัย เรามักจะถูกเลือกให้เป็นประธานนักเรียน ประธานชมรม หรือผู้นำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่าเราอาจจะเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง วางแผนจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างดี รวมไปถึงวิชาเรียนที่เราเรียนได้ดี เช่น ถ้าเราได้เกรด A ในทุกวิชาที่ต้องมีการหาข้อมูลและวิเคราะห์อยู่เสมอ หมายความว่าจุดเด่นของเราก็อาจจะเป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีประโยชน์มากในการทำงาน ดังนั้นเราต้องนำจุดเด่นเหล่านี้ไปแสดงให้เขาเห็น โดยอาจจะเล่าผ่าน Cover Letter เขียนใน Resume ส่วนที่เป็นคุณสมบัติและทักษะของเรา หรือเล่าตอนไปสัมภาษณ์ก็ได้
เวลาจะสมัครงานเด็กจบใหม่หลายคนพึ่งแต่บารมีปริญญาตรีที่ตรงสาย แต่ไม่ได้มีทักษะพิเศษอะไรเพิ่มเติมเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าเราอยากเป็นผู้สมัครที่เข้าตา เราต้องทำตัวเองให้แตกต่าง มีความสามารถหลากหลาย อย่าให้เขามองว่าเราก็แค่เด็กจบใหม่ที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไป จงทำให้ตัวเองดูพิเศษมากขึ้น เช่น เราเรียนจบสาขาการตลาดและอยากสมัครงานสายนี้ นอกจากความรู้ด้านการตลาดที่เราเรียนมาแล้ว เรายังมีทักษะด้านอื่นด้วย เช่น ใช้โปรแกรม Photoshop เป็น ถ่ายรูปสวย เขียนเก่ง ใช้งาน Excel ระดับ Advance มีความรู้หลายภาษา ฯลฯ ยิ่งเรามีความสามารถหลากหลายมากเท่าไหร่เราก็จะเป็นต่อคนอื่นมากเท่านั้น จำไว้ว่าทักษะจะช่วยให้เราก้าวไปได้ไกลขึ้น การกระหายความรู้ ไม่หยุดที่ศึกษาสิ่งใหม่ จะทำให้เราเป็นคนที่บริษัทต้องการ
หางานที่ยินดีรับเด็กจบใหม่ได้ ที่นี่
|
|
ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วว่าอยากทำงานด้านไหนหรือบริษัทในธุรกิจอะไร ก็พาตัวเองเข้าไปอยู่ใน Community นั้นให้มากที่สุด เช่น เราอยากทำงานด้านการตลาด เราก็ต้องพาตัวเองเข้าไปในแวดวงที่รวบรวมคนที่ทำงานด้านการตลาด หรือสนใจในสิ่งนี้เหมือนกัน อาจจะเป็นการไปกดติดตามเพจการตลาดต่าง ๆ ไปคอมเมนต์ถาม หรือเข้าไป Join ใน Facebook Group กลุ่มการตลาด แล้วปรึกษา เก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานสายนี้ หรือฝากเนื้อฝากตัวดูก็ได้ เชื่อว่าเดี๋ยวก็มีคนที่ทำงานด้านการตลาดมาแนะนำเราเพิ่มเติม หรือโชคดีเขาอาจจะช่วยแนะนำลู่ทางให้เราได้งานที่ต้องการก็ได้
รวมถึงถ้าเราเป็นคนที่มี Connection เยอะ มีเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องที่รู้จักมากมาย ก็ลองถามไถ่ดูว่าพวกเขาเหล่านั้นทำงานในสาขา หรือบริษัทที่เราสนใจอยู่ไหม พยายามไปคุยกับเขาให้เยอะ ๆ มีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่เลือกคนโดยใช้วิธีให้คนรู้จักแนะนำเข้ามา เพราะบางครั้งมันก็ได้ผลดีกว่าการรับคนที่ไม่เคยรู้จักแบ็กกราวด์มาก่อน
การฝึกงาน หรือทำงานพาร์ทไทม์ ถือเป็นประสบการณ์ที่หาได้ง่าย และมีน้ำหนักมากที่สุดสำหรับเด็กจบใหม่ เพราะมันเป็นเหมือนใบเบิกทางว่าเราเคยมีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว ยิ่งถ้ามีใบรับรองด้วยก็จะยิ่งดี เพราะเราสามารถเอามาเป็นหลักฐานการันตีที่ส่งไปพร้อมกับ Resume, Cover Letter และ Portfolio ได้ แต่สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ อย่าใส่ไปเฉย ๆ ว่าทำงานอะไรที่ไหน แต่เราต้องเล่าหน้าที่ความรับผิดชอบของเรา และต้องบอกให้ได้ด้วยว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ถ้าตอนนี้เราเรียนจบแล้วแต่ยังไม่ได้งาน ก็ลองทำงานพาร์ทไทม์ หรือทำงานฟรีแลนซ์และโปรเจกต์ระยะสั้นต่าง ๆ เป็นการฆ่าเวลาและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อน ถ้าเป็นไปได้เลือกที่ใกล้เคียงกับงานที่สนใจให้มากที่สุด แต่ถ้าเลือกไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ว่ายังไงเราก็ได้เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ที่เราอาจหาไม่ได้ในห้องเรียนอยู่แล้ว ซึ่งมันก็จะมีประโยชน์ และสามารถเอามาปรับใช้ในการทำงานของเราได้แน่ ๆ หรือบางครั้งอาจจะลองอาสาทำงานในโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่สนใจหรือเกี่ยวข้องกับสายงานที่เราอยากทำโดยที่ไม่ได้รับค่าจ้างดูก็ได้ เพราะอย่างน้อยก็จะสามารถเก็บผลงานใส่ Portfolio และได้รับประสบการณ์ไปในตัว รวมไปถึงพยายามหาพื้นที่ที่เราจะได้โชว์ความสามารถของตัวเอง เช่น ถ้าใครถนัดการเขียน ก็ลองเขียนบล็อก เพจ หรือนิยายดู นอกจากจะได้ฝึกฝีมือแล้ว สมัยนี้งานเขียนออนไลน์ก็สร้างรายได้ไม่น้อย แถมยังได้ผลงานใส่ Portfolio อีกต่างหาก
เด็กจบใหม่หลายคนชอบมีความคิดที่ว่า “หว่านใบสมัครไปเยอะ ๆ ก่อนเดี๋ยวก็คงได้สักงาน” โดยบางทีก็ไม่ได้อ่านคุณสมบัติเลยด้วยซ้ำว่าเรามีตรงกับที่เขาต้องการไหม มีใบอนุญาตอะไรที่ต้องใช้รึเปล่า หรือบางคนสมัครงานโดยการส่งอีเมล และมีการเขียนเนื้อหาอีเมลอย่างดี แต่ดันส่งแบบ “ก็อปวาง” ไปทุกบริษัทที่สมัคร และลืมเปลี่ยนชื่อบริษัทก็มี ซึ่งการทำแบบนี้เกือบร้อยทั้งร้อย HR จะไม่อ่าน Resume ของเราเลยด้วยซ้ำ เพราะแค่เรื่องพื้นฐานเราก็ไม่ละเอียดรอบคอบแล้ว
ดังนั้นเราต้องดูคุณสมบัติให้ดีว่าเขาต้องการคนแบบไหน ตรงกับเรารึเปล่า สมมติถ้าเขากำหนดชัดเจนว่าต้องจบปริญญาตรี แต่เราจบปวส. หรือถ้าเขากำหนดคณะที่จบมาแบบชัดเจนว่าต้องเป็นคณะนี้เท่านั้นจริง ๆ แต่เราไม่ได้เรียนมา ก็อย่าส่งให้เสียเวลา เพราะโอกาสน้อยมากที่เขาจะสนใจเรา ให้ลองเปลี่ยนไปมองหางานที่บอกชัดเจนว่ายินดีรับนักศึกษาจบใหม่ คนไม่มีประสบการณ์ หรือรับคนจบตรงสายที่เราเรียนจะดีกว่า เพราะการสมัครงานที่เรามีคุณสมบัติตรงตามนั้นจะทำให้เรามีโอกาสถูกเรียกมากกว่าแน่นอน
แต่สุดท้ายถ้าเราเจอบริษัทหรือตำแหน่งงานที่เราสนใจจริง ๆ แต่ประสบการณ์ไม่ถึงตามที่เขาระบุ การลองยื่นใบสมัครไปดูก็ไม่เสียหาย ถ้าเรามั่นใจว่าคุณสมบัติอะไรบางอย่างของเราทดแทนประสบการณ์ที่เราขาดไปได้ และเพียงพอให้เขารับเข้าทำงาน หรือถ้าสมัครไปแทบจะทุกที่ที่ลงประกาศงานว่ารับคนไม่มีประสบการณ์แล้วก็ยังไม่มีใครเรียก ก็อาจต้องลองขยายขอบเขตการหางานดู ทั้งเรื่องช่องทาง เช่น โทรศัพท์หรือส่งข้อความเข้าไปสอบถามงานในเพจหรือกลุ่มของบริษัทที่สนใจ และมองหางานในตำแหน่งหรือสถานที่ทำงานที่กว้างมากขึ้นจากเดิมที่เราเคยหา การหางานสำหรับเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็อย่าเพิ่งท้อ ยอมแพ้ และเอาแต่โทษสิ่งรอบข้าง ให้ลองมองหาจุดบกพร่องของตัวเองและพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นแทน
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน
ที่มา:
thestandard.co
youtube.com
blog.jobthai.com
pantip.com
careers.scb.co.th