ไม่ว่าคุณจะทำงานมาไม่นาน หรือ มีประสบการณ์การทำงานเยอะจนเขียนได้เป็นสิบ ๆ หน้ากระดาษ การตัดสินใจว่าจะระบุประสบการณ์การทำงานอันไหนลงไปใน Resume ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี หรือบางคนอาจจะคิดว่าน่าจะต้องเขียนเยอะ ๆ จะได้ดูดี แล้วการเขียนประสบการณ์การทำงานควรเขียนยังไงกันแน่ วันนี้ JobThai มีคำตอบมาให้แล้ว
ประสบการณ์การทำงานแทบจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของ Resume ก็ว่าได้เพราะ HR และหัวหน้างานทุกคนที่ทำหน้าที่คัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาร่วมทีมมักอ่านหัวข้อประสบการณ์การทำงานเป็นอันดับแรกจากนั้นจึงดูหัวข้ออื่น ๆ เป็นส่วนประกอบเพื่อการพิจารณาผู้สมัครที่น่าสนใจแล้วจึงตัดสินใจเรียกสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นถ้าเราเขียนประสบการณ์การทำงานไม่ดี เช่น ใส่ข้อมูลการทำงานน้อยหรือมากเกินไป ไม่อธิบายหน้าที่หรือความสามารถของเราให้ชัดเจน ก็มีโอกาสที่ Resume นั้นจะถูกมองข้ามไปได้
ตรวจสอบประกาศรับสมัครงานของตำแหน่งที่เราต้องการสมัครอย่างละเอียด แล้วลองลิสต์ว่าเรามีประสบการณ์การทำงานไหนที่ตรงกับสิ่งที่บริษัทต้องการบ้างมาสัก 5-10 รายการและเรียบเรียงเป็น Bullet Points โดยสามารถเป็นได้ทั้ง ความรับผิดชอบพื้นฐาน กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการทำงานและทักษะในการทำงานตามหน้าที่เหล่านั้น และควรเพิ่มความน่าสนใจด้วยผลงานที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะมาจากการประเมินผลการทำงานในแผนก หรือรางวัลที่ทั้งบริษัทยอมรับและชื่นชมในความสามารถ รวมไปถึงผลงานอื่น ๆ ที่ได้รับชื่อเสียงจากองค์กรภายนอก การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้และนำเสนอให้บริษัทได้เห็นในส่วนที่เด่นที่สุดของ Resume จะทำให้คนที่ทำหน้าที่พิจารณาผู้สมัคร เทียบเคียงทักษะความสามารถของเรากับคนที่เขากำลังมองหาอยู่ได้ชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้เรายังสามารถจัดการข้อมูลชุดเดียวกันนี้ได้หลายรูปแบบ เช่น ถ้าต้องการพูดถึงเรื่องการทำงานทีเดียวให้ครบถ้วน เราอาจเขียนประสบการณ์การทำงานให้มีรายละเอียดครบถ้วนในหัวข้อเดียวได้ โดยมีข้อมูลทั้งหน้าที่การทำงาน ทักษะที่ใช้ทำงาน และความสำเร็จในการทำงาน ในขณะเดียวกันเราสามารถเน้นส่วนทักษะที่เราชำนาญที่สุดแยกออกมาเป็น Highlightด้านบน หรือมีหัวข้อรางวัลที่ได้รับจากผลสำเร็จในการทำงานที่ผ่านมาเป็นหัวข้อแยกในท้ายของ Resume หากพื้นที่ยังเหลือพอ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้คนอ่าน Resume เห็นหัวข้อส่วนไหนก่อน
ข้อมูลสำคัญที่ควรใส่
- ชื่อบริษัท: ใช้ชื่อทางการของบริษัท เน้นตัวหนาเพื่อให้โดดเด่น
- ระยะเวลาที่ทำงาน: ตามด้วยเดือนและปีที่ทำงานในรูปแบบวงเล็บ เช่น จำนวนปี เช่น ปี (มกราคม 2562 - ธันวาคม 2563)
- ชื่อตำแหน่งงาน: ชื่อทางการของตำแหน่งงาน
- หน้าที่รับผิดชอบในการทำงาน: อธิบายงานที่ได้รับมอบหมายและยกตัวอย่างทักษะการทำงานที่ใช้ประกอบ ควรเรียงให้อ่านง่ายด้วย Bullet Points
การเรียงลำดับ
รายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานแต่ละแห่ง สามารถสลับลำดับกันได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบและสไตล์ของเราว่าอยากนำเสนออะไรก่อน เช่น บางคนอาจจะเขียนชื่อบริษัทไว้บนสุด ตามด้วยปีที่ทำงาน แล้วจึงตามด้วยชื่อตำแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบปิดท้าย แต่ถ้าต้องการให้เน้นบทบาทในการทำงานก็ขึ้นต้นด้วยชื่อตำแหน่งก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือการเรียงประสบการณ์การทำงานของแต่ละบริษัทโดยให้คนอ่านเห็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุดอยู่เป็นอันดับแรกเพื่อให้บริษัทเห็นข้อมูลที่ใหม่ที่สุดก่อนนั่นเอง
ตำแหน่งการวาง
ควรวางหัวข้อประสบการณ์ทำงานไว้ตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน อาจเป็นตำแหน่งถัดจากหัวข้อสรุปประวัติการทำงาน หรือกรณีที่อยากเน้นทักษะการทำงานให้คนอ่านเห็นก่อน ก็สามารถยกBullet Points สรุปชื่อทักษะการทำงานที่เราถนัดขึ้นมาก่อนแล้วจึงตามด้วยประสบการณ์การทำงานก็สามารถทำได้เช่นกัน
คำแนะนำอื่น ๆ
ถ้ากังวลว่าจะเขียนประสบการณ์การทำงานขนาดไหนถึงจะเหมาะสม ลองดูตัวอย่างแล้วนำไปปรับใช้ได้เลย
ตัวอย่างปริมาณข้อมูลการทำงานตามระดับประสบการณ์
คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานไม่เกิน 5 ปี:
แสดงบทบาทหน้าที่ได้รับมอบหมายในการทำงานทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าบางส่วนจะไม่เกี่ยวข้องกับงานใหม่โดยตรง แต่ก็ยังสามารถแสดงให้บริษัทเห็นว่าเรามีประสบการณ์การทำงานจริง และอาจมีบางประสบการณ์ที่เอามาปรับใช้กับงานที่สมัครได้
คนทำที่ทำงานมาแล้ว 5 - 10 ปี:
ระบุรายละเอียดเฉพาะประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่เราสมัคร ประสบการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องมากอาจไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียด ใส่แค่ให้ HR เห็นว่าเรามีประสบการณ์อะไรบ้างคร่าว ๆ ก็ได้
ระดับหัวหน้างานหรือคนที่ทำงานมาเกิน 10 ปีขึ้นไป:
นำเสนอข้อมูลประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องสูงสุดย้อนหลังไม่เกิน 10 ปี เช่น หากประสบการณ์ในปัจจุบันของเราคือผู้บริหารหรือหัวหน้าแผนก บริษัทก็อาจจะไม่สนใจการเริ่มต้นอาชีพเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่อยากเห็นประสบการณ์สำคัญในช่วงที่ได้ใช้ทักษะการบริหารทีมแล้วมากกว่า
ไม่มีประสบการณ์:
หากมีการฝึกงานกับบริษัท ให้สรุปบทบาทหน้าที่ที่เราเคยทำหรือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากลองทำงานจริงกับบริษัท กรณีคนที่เคยทำงานพิเศษแต่ไม่ได้ตรงกับตำแหน่งที่สมัคร แต่เราได้ใช้ทักษะบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์กับการทำงานในตำแหน่งนี้ก็สามารถเขียนลงไปใน Resume ได้ ในขณะเดียวกันถ้าเราไม่มีประสบการณ์การทำงานใด ๆ เลย ให้เขียนอธิบายเพิ่มเติมทักษะที่ได้จากการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย กิจกรรมนอกหลักสูตร งานอาสาสมัคร และโครงการอื่น ๆ หรือความถนัดในการเรียนวิชาต่าง ๆ ในหัวข้อประวัติการศึกษาแทน
- ในส่วนรายละเอียดของบทบาทและหน้าที่ในการทำงาน ผู้สมัครงานหลายคนมักทำพลาดด้วยการเขียนย่อหน้าที่ยาวเกินไป หรือแม้จะเขียนเป็น Bullet Points แล้วก็ยังเขียนอธิบายการทำงานแบบทั่ว ๆ ไป ลืมเน้นว่าเราทำผลงานนั้น ๆ ได้ดีแค่ไหน อย่าลืมว่าคนที่อ่าน Resume ของเราอาจเป็นหัวหน้างานของเราในอนาคตที่รู้เรื่องการทำงานในด้านนี้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นการเขียนอธิบายบทบาทและหน้าที่การทำงาน นอกจากบอกว่าเราทำงานอะไรด้วยทักษะอะไรบ้างแล้วจึงควรมีตัวอย่างความสำเร็จหรือการแสดงประสิทธิภาพการทำงานที่มีข้อมูล สถิติ ตัวชี้วัดปริมาณหรือคุณภาพมาประกอบด้วย
- จำไว้เสมอว่า Resume ที่มีหลายหน้าเกินไป หรือข้อมูลที่ใส่มาไม่ได้น่าสนใจมากพอ บริษัทอาจไม่มีเวลาอ่านอย่างละเอียด ยิ่งถ้าเรามีประสบการณ์การทำงานมากกว่าสิบปีหรือเคยทำงานมาหลายที่ ก็ยิ่งควรเลือกเล่าเฉพาะหน้าที่การทำงานที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัครมากที่สุดเท่านั้น
ผู้สมัครงานควรให้ความสำคัญกับการเขียน Resume ในส่วนประสบการณ์การทำงานเป็นอันดับแรก เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่บริษัทต้องการอ่านเพื่อประเมินว่าเรามีแนวโน้มจะทำงานได้ดีแค่ไหน เพราะฉะนั้นยิ่งประสบการณ์ทำงานใน Resume ที่ส่งให้บริษัทตรงกับคุณสมบัติที่พวกเขาตามหามากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ ก็มีมากขึ้นเท่านั้น
เทคนิคการเขียน Resume แบบเจาะลึก ในส่วนอื่น ๆ