ศศิธร คูส่ง: ผู้หญิงธรรมดาที่พิสูจน์แล้วว่าแอร์โฮสเตส ไม่ใช่ฝันที่ไกลเกินไปสำหรับใครที่อยากติดปีก

17/11/17   |   15.6k   |  

สำหรับคนทำงานแล้วเคยเป็นกันบ้างหรือเปล่าที่นั่งทำงานอยู่แล้วนึกว่าถ้าตอนนั้นเราเลือกเส้นทางการทำงานอีกทางหนึ่งเราจะเป็นยังไงนะ หรือนักศึกษาที่กำลังใกล้จะเรียนจบเคยคิดถึงอาชีพบางอย่างที่ตนเองเคยอยากจะทำ แต่ก็ดูเป็นไปไม่ได้เลยกับสถานการณ์ตอนนี้ไหม

อุปสรรคในการทำตามฝันสำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องโอกาส เรื่องความสามารถ หรือแม้แต่เรื่องของรูปลักษณ์ จนทำให้ต้องถอดใจปล่อยให้ฝันนั้นผ่านเลยไปแล้วก็จบลง แต่สำหรับบางคนแล้วก็ขอลองเสี่ยงดูก่อนแม้โอกาสที่จะคว้าฝันนั้นได้มันจะมีอยู่น้อยนิดจนเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม

ซึ่งคุณแอน ศศิธร คูส่ง ก็เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่ยอมแพ้ให้กับอุปสรรค และแม้ว่าสิ่งที่เธอฝันจะไกลแค่ไหน เธอก็สู้ไม่ถอย จนกระทั่งวันนี้เธอสามารถยืนอยู่ในจุดที่เธอตั้งใจไว้ได้สำเร็จ นั่นก็คือการได้เป็น “แอร์โฮสเตส” นั่นเอง

JobThai จึงได้เชิญให้เธอมาเล่าถึงเส้นทางที่ผ่านมาว่าจากผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นนางฟ้า เธอทำอย่างไร ถึงคว้าเอาปีกมาติดให้ตัวเองได้อย่างทุกวันนี้

 

 

  • ความฝันที่อยากจะเป็นแอร์ฯ ของคุณแอนเกิดจากความชอบส่วนตัวที่เป็นคนชอบที่จะเจอคนหลากหลาย ได้เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา
  • อุปสรรคสำคัญของคุณแอนในการเป็นแอร์ฯ ก็คือ ส่วนสูงและอายุ ทำให้เธอมีข้อจำกัดในเรื่องของสายการบินที่เปิดรับ แต่เธอก็พยายามหาจุดแข็งมากลบจุดด้อยข้อนี้ ซึ่งก็คือความสามารถทางด้านภาษา
  • ตอนที่ตัดสินใจก้าวเข้าสู่สายอาชีพนี้ คุณแอนใช้เงินเก็บของตัวเองทั้งหมดไปกับการสมัครเรียนโรงเรียนสอนเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นแอร์ฯ เพราะตอนนั้นอายุของเธอใกล้จะเกินเกณฑ์ที่สายการบินเปิดรับแล้ว ทำให้เธอมีเวลาจำกัดในการพัฒนาจุดด้อย และเตรียมความพร้อมทั้งหมด
  • เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมที่สุดสำหรับสายการบินที่สมัคร คุณแอนลาออกจากงานประจำ แล้วรับงานฟรีแลนซ์แทน เพื่อให้มีเวลาในการเรียนภาษาของสายการบินเพิ่มเติมด้วยตัวเอง ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากสายการบินที่สมัครเลยว่าเธอจะผ่านการคัดเลือก
  • สำหรับคุณแอน การเป็นแอร์ฯ ไม่ใช่สิ่งที่สูงเกินเอื้อม ทุกคนมีจุดแข็งและจุดอ่อน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาจุดแข็งออกมาแสดงได้ยังไง และมีความพยายามที่จะพัฒนาจุดอ่อนของตัวเองมากแค่ไหน
     

 

แนะนำตัวเองให้คนอ่านรู้จักกันหน่อย

แอนค่ะ ศศิธร คูส่ง เรียนจบคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาเกาหลี เป็นแอร์ฯ มาได้เกือบสองปีแล้วค่ะ

 

แอร์โฮสเตสนี่เป็นความฝันของคุณแอนตั้งแต่เด็ก ๆ เลยหรือเปล่า

ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยมีความคิดในหัวเลยว่าอยากจะมาเป็นแอร์ฯ แต่จุดเริ่มต้นมาจากที่เราได้ไปต่างประเทศครั้งแรก เราได้ไปสนามบิน ขึ้นเครื่อง เราได้เห็นการทำงานของแอร์ฯ ก็รู้สึกว่าเขาดูสง่าเนอะ บุคลิกดี อ่อนหวาน เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกอยากเป็นแอร์ฯ นะ เพราะว่าเราก็คิดว่ามันไม่ใช่ตัวเรา

แต่พอเรียนจบเราลองทำงานหลายอย่างมาก เพราะอยากจะหาว่าเราชอบอะไร เป็นล่าม เป็นเลขาฯ เป็นนักแปล เป็นครู บางอย่างเราก็สนุกกับมันนะ แต่มันก็มีจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าบางทีเราอาจจะไม่ชอบงานที่อยู่กับที่ เราอาจจะชอบงานที่ได้เจอคนอื่น ๆ ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เจอคนเยอะ ๆ ก็เลยคิดว่าแอร์ฯ น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตรงกับความชอบของเรา

 

พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะทิ้งชีวิตเดิม ๆ เพื่อเดินไปในเส้นทางใหม่ คุณแอนทำยังไงต่อ

อันดับแรกคือหาข้อมูลก่อนว่าคนที่จะเป็นแอร์ฯ เขาต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง เขารับสมัครกันทางไหน แล้วเราก็หาข้อมูลว่าคุณสมบัติเราพอจะเป็นแอร์ฯ ที่สายการบินไหนได้บ้าง คือเราตัวเล็ก สูงแค่ 158 เอง แต่แอร์ฯ ส่วนใหญ่เขาจะตัวสูงกัน เราก็ต้องไปหาดูว่ามีที่ไหนรับบ้าง เพราะความสูงเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว

พอไปหาข้อมูลเราก็เจอว่ามันมีสายการบินที่เขารับผู้หญิงตัวเล็ก กับสายการบินที่เขาใช้วิธีเอื้อมแตะ แทนการวัดส่วนสูง เราก็เลยรู้สึกว่ามันก็พอจะมีทางเป็นไปได้นะ ทีนี้เรามาดูเรื่องภาษา เรื่องบุคลิก เหมือนตอนนั้นเราเรียนเอกภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษพอได้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้ เราก็เลยต้องมีการฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มเติม พยายามใช้ให้มากขึ้น

 

ครอบครัวคัดค้านหรือมีปัญหาอะไรกับการตัดสินใจครั้งนี้ไหม

ก็คุยกับที่บ้านนะว่าเราอยากลอง เพราะถ้าเราผ่านตอนนี้ไปแล้วเราย้อนกลับมามอง เราก็อาจจะเสียดายว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำ แล้วตอนนั้นอายุ 25 คือเริ่มรู้สึกว่า ถ้าเรารอนานกว่านี้ สายการบินที่เขารับคนตัวเล็ก เขาจะลิมิตอายุแค่ 26 – 27 คือถ้าเราไม่รีบ เราก็จะพลาดโอกาส ซึ่งปกติที่บ้านก็ให้อิสระอยู่แล้วว่าเราอยากทำอะไร เขาไม่ห้าม แต่ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่เราใช้ในการเตรียมตัวทุกอย่าง เราก็ต้องเป็นคนออกเอง เราก็เลยเอาเงินที่เก็บได้จากการทำงานมาตลอดสามปีมาจ่ายให้กับการเรียนครั้งนี้

 

 

ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปกับการเตรียมตัวเป็นแอร์ฯ นี่เยอะมากไหม

ก็พอสมควร เพราะเรามีเวลาน้อย และเราเลือกที่จะไปทางลัด ด้วยการเข้าโรงเรียนที่สอนเพื่อเตรียมตัวเป็นแอร์ฯ ซึ่งมันมีค่าใช้จ่ายสูง ถ้าค่าใช้จ่ายสำหรับคอร์สเต็ม ๆ แบบนี้ ก็หลายหมื่น หรือบางคนอาจจะถึงแสนก็มี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพราะค่าสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ที่สอบไม่ผ่านสักที คือมันก็เป็นอาชีพที่ใช้การลงทุนสูงเหมือนกันนะ

 

เคยได้ยินมาว่า ไม่ใช่แค่มีเงินก็จะเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมความพร้อมเพื่อการเป็นแอร์ฯ ได้เลย เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าตัวคุณแอนเอง กว่าจะได้เข้าไปเรียนต้องผ่านด่านอะไร ยังไงบ้าง

ตอนที่สมัครเรียนเขาจะมีพรีสกรีนก่อน ด่านแรกที่เจอคือเขาจะให้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษและถ้าเรามีความสามารถทางภาษาอื่น ๆ ก็เขียนบอกเขาไป จากนั้นก็ไปทดสอบการเอื้อมแตะ ตอนนั้นเขาจะให้แตะที่ประมาณ 212 เซนติเมตร ซึ่งเราไม่ถึง จากนั้นไปวัดส่วนสูงซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันอยู่แล้วว่า การวัดส่วนสูงของแอร์ฯ เนี่ยเขาจะกดลงไปอีก คือเรารู้ว่าส่วนสูงเราคือ 158 แต่พอไปวัดที่นี่เราเหลือ 157 คือ สูงก็ไม่ถึง แตะก็ไม่ถึง

ตอนแรกเขาจะไม่ให้เราผ่านไปพบครูที่สอนด้วย แต่ภาษาเราค่อนข้างโอเค เขาก็เลยโทรไปหาครูว่า คนนี้ภาษาดีแต่ว่าสูงแค่นี้ แล้วก็แตะไม่ถึงด้วยจะทำยังไงดี ครูก็บอกว่าให้มาคุยกันก่อน ก็สรุปว่าวันนั้นผ่านมาได้แบบหวุดหวิด พอเจอครูปุ๊บครูเขาก็บอกว่า เขาจะดูทุกอย่างโดยรวมแล้วคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเป็นแอร์ฯ มากแค่ไหน โดยรวมของเขาก็คือ ดูอายุ ถ้าอายุมากโอกาสก็ยิ่งน้อย ดูหน้าตา รอยยิ้ม ทำศัลยกรรมไหม มีแผลเป็นตรงไหนบ้าง รูปร่าง ส่วนสูง น้ำหนัก และจะต้องเรียนภาษาเพิ่มมากแค่ไหน พอเราผ่านขั้นตอนนี้ครูก็บอกว่า ครูรับมาเป็นนักเรียนนะแต่ว่ามันอยู่ที่ความพยายามของเรา เราอาจจะมีเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าคนอื่นเพราะอายุและส่วนสูง แต่ถามว่ามีโอกาสไหมก็มี  

 

นึกกลัวบ้างไหมว่ายอมจ่ายเงินไปตั้งมากมายแล้ว แต่สุดท้ายก็อาจจะไม่ได้อะไรกลับมา

กลัวค่ะ ยอมรับตรง ๆ เพราะตอนนั้นก็เสี่ยงเหมือนกัน คือเราก็เอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดไปลงทุนกับการเรียน การเตรียมตัวเป็นแอร์ฯ ซึ่งเป็นเงินที่มากพอสมควร ทั้ง ๆ ที่โอกาสของเราตอนนั้นมันน้อยกว่าคนอื่น แต่ถ้าถามว่าเสียดายไหม ไม่นะ เพราะว่ามันเป็นเหมือนทางลัดจริง ๆ ว่าเราจะต้องทำให้ได้ภายในระยะเวลาเท่านี้

 

ตอนเรียนคุณแอนใช้เวลาในการเรียนนานแค่ไหน แล้วเรียนอะไรบ้าง 

เราเริ่มจากเรียนภาษาก่อน จากตอนแรกที่เราคิดว่าภาษาเราโอเค แต่พอไปคุยกับครูแล้วภาษาเรามันไม่ถึงเกณฑ์ คือการพูดเราไม่ค่อยได้ใช้เราก็เลยพูดไม่เก่ง ก็เลยเริ่มจากเรียนภาษาอังกฤษก่อน เรียนตั้งแต่คอร์สเริ่มต้น เรียนแล้วสอบ เพื่อเลื่อนชั้น แล้วเรียนคอร์สใหม่ ไปเรื่อย ๆ พอเรียนจบคอร์สภาษาอังกฤษ เราก็จะต้องไปสอบวัดระดับภาษา ซึ่งครูก็จะคาดหวังกับคะแนนภาษาอังกฤษเรามาก เพราะต้องให้มันโดดเด่น ทดแทนเรื่องส่วนสูงของเรา หลังจากสอบได้คะแนนตามเป้าแล้ว ถึงจะได้ไปเรียนคอร์สบุคลิกภาพ

 

ตอนนั้นก็ยังทำงานประจำอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า

ใช่ค่ะ คือเราทำงานประจำวันจันทร์ – วันศุกร์ พอวันเสาร์ – วันอาทิตย์เราก็ไปเรียน แล้วก็รับแปลงานบ้าง เพราะเราได้ภาษาที่สาม คือภาษาเกาหลี เหมือนเราไม่มีวันพักเลย ตอนนั้นเรียนก็หนัก แถมยังทำงานอีก แต่เราก็สู้ เพราะในเมื่อเราเลือกแล้วที่จะลอง เราก็ต้องทำให้สุด แต่ก็ต้องบาลานซ์ให้ดี

 

จากที่ครูพูดตอนสมัครเรียนว่าคุณแอนมีเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าคนอื่น พอได้เข้าไปเรียนจริง ๆ แล้ว คุณแอนรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ๆ หรือรู้สึกท้อบ้างไหม

ท้อค่ะ อย่างที่บอกว่าภาษาเราไม่ได้โอเคอย่างที่เราคิด เราก็เริ่มรู้สึกว่าหนทางมันยังอีกไกลนะ แล้วพอเราได้ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่เรียนเหมือนกัน คลาสนึงมีประมาณ 5 – 6 คน เราก็ยังเป็นคนที่เตี้ยที่สุด อายุเยอะที่สุด และอ้วนที่สุดอีก คือพอเราเห็นเพื่อนในห้องเรารู้สึกว่าโอ้โห โอกาสเรามันน้อยนะเมื่อเทียบกับคนที่เขาพร้อมกว่า คือภาษามันฝึกได้ แต่ส่วนสูงทำยังไงมันก็ไม่ได้ หรือน้ำหนักมันก็ลดยาก เรารู้สึกเหมือนเป็นแกะดำ เหมือนเป็นคนที่ดูแล้วไม่น่าจะได้เป็นแอร์ฯ มากที่สุดในห้อง

 

 

กว่าจะได้มาเป็นแอร์โฮสเตสอย่างที่ฝันในสายการบินที่ทำอยู่ตอนนี้ คุณแอนเคยไปสมัครมาแล้วกี่แห่ง

ที่นี่เป็นที่แรกที่เราสมัครเลย คือตอนนั้นพอได้ถอดเหล็กจัดฟัน สายการบินที่เราทำอยู่ตอนนี้ก็เปิดรับสมัครพอดี เราก็เลยไปสมัคร แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้นะ เราไม่หวังเพราะกลัวผิดหวัง แค่ไปสมัครดูเฉย ๆ แล้วก็ได้เลย

 

ได้เลยที่ว่านี่คือ พร้อมเทรนแล้วขึ้นบินเลยใช่ไหม

ได้เลยนี่หมายถึง ผ่านเข้าไปรอบตรวจร่างกาย ตอนแรกที่เรารู้ว่าเราผ่านรอบไฟนอล เราก็คิดว่าพอผ่านรอบไฟนอลปุ๊บก็คือเราได้แล้ว เราได้เป็นแอร์แล้ว แต่จริง ๆ ไม่ใช่ มันยังเหลือการตรวจร่างกายอีก ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่ารอบตรวจร่างกายเนี่ย เขาจะคัดออกไปอีกครึ่งนึงเลย ซึ่งการตรวจร่ายกายของเราก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดด้วย

 

หมายความว่าพอผ่านอุปสรรคเรื่องส่วนสูงที่น้อยกว่าคนอื่น น้ำหนักและอายุที่มากกว่าคนอื่นแล้ว คุณแอนยังต้องมาเจอกับปัญหาสุขภาพต่ออีกด้วย

คือก่อนตรวจเราก็คิดว่าเราแข็งแรงไม่น่าเป็นอะไร แต่พอไปตรวจจริง ๆ ก็เจอว่าเราเป็นซีสต์ ก็ทำให้เราใจเสียเลยนะ ว่าแบบมาถึงขั้นนี้แล้วแต่จะไม่ได้เป็นแอร์ฯ เพราะเราเป็นซีสต์ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าซีสต์ นั้นมันร้ายแรงถึงขั้นเป็นเนื้อร้ายรึเปล่า

ตอนแรกหมอบอกว่าความเป็นไปได้คือมันน่าจะไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ถ้าอยากจะให้ชัดว่าเป็นเนื้ออะไรต้องเจาะเอาตัวอย่างชิ้นเนื้อออกมาตรวจซึ่งค่าใช้จ่ายในการตรวจคือ 18,000 บาท ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าตรวจชิ้นเนื้ออีกตั้ง 18,000 แล้วเจ้าหน้าที่สายการบินก็รออยู่ด้วย เราเลยตัดสินใจว่าเสี่ยงดีกว่า เราไม่ตรวจเพิ่ม หมอก็เลยบอกว่า งั้นหมอจะเขียนตามที่ประเมินว่าน่าจะเป็นเนื้อดี แต่เราก็ยังรู้สึกว่าแย่แล้ว คนอื่นอีกไม่รู้กี่สิบคนเขาไม่ได้เป็นซีสต์แบบเราแต่เราเป็น คือการคัดคนเป็นแอร์ฯ เขาจะต้องคัดคนที่แข็งแรงกว่าปกติ เพราะเมื่อขึ้นไปแล้วสุขภาพมันจะเสื่อมลง เขาเลยต้องการคนที่แข็งแรงเกินร้อยขึ้นไปทำงานข้างบน

 

แต่สุดท้ายคุณแอนก็ก้าวผ่านปัญหาเรื่องซีสต์มาได้ แล้วหลังจากนั้นคุณแอนทำอะไรต่อ

ปกติเขาจะประกาศผลและเริ่มเทรนหลังจากที่ผ่านการตรวจร่างกายได้เดือนนึง ตอนนั้นเราคิดว่าเราน่าจะมีหวัง เราน่าจะได้ เราก็เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ เพื่อไปเรียนภาษา เพราะสายการบินเราเป็นสายการบินญี่ปุ่น ก่อนที่เราจะได้เข้าไปเทรนของจริง เราต้องเตรียมความพร้อมเรื่องภาษาก่อน ซึ่งมันเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา

 

เป็นการลาออกทั้ง ๆ ที่ยังไม่ชัวร์ว่าจะถูกเลือก

ใช่ แต่เราก็ต้องเสี่ยง เราต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน ถ้าเกิดว่าไม่ได้จริง ๆ ก็ถือว่าได้ภาษาใหม่

 

แสดงว่าตอนนั้นรายได้หลักที่เราเคยได้ก็ไม่มีแล้วใช่ไหม

ใช่ค่ะ แต่เราก็ยังทำงานพิเศษ รับงานแปล งานสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเอามาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวในแต่ละวัน แล้วก็พยายามตัดค่าใช้จ่ายที่ตัดได้ออกไป อย่างตอนลาออกเพื่อมาเตรียมตัวเรียนภาษาญี่ปุ่น เราก็เลือกที่จะเรียนด้วยตัวเองแทนการไปลงคอร์สเรียน

 

 

รู้สึกว่าตัวเองโชคไม่ดีเท่าคนอื่นไหมที่ยังต้องทำงานไปพร้อม ๆ กับพยายามเรียนภาษาด้วยตัวเอง ในขณะที่คนอื่นอาจจะเรียนอย่างเดียว ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้

คือเราคิดว่าทุกคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน แต่เราเลือกจะมองในแง่ดีว่าวันนี้เราได้มาอยู่ในจุดที่คนอีกตั้งหลายพันคนอยากเข้ามา บางคนเขาอยากมาอยู่ตรงนี้แทบตาย แต่เขาก็ยังทำไม่ได้หรือยังมาไม่ถึง แต่เราทำได้แล้ว ต่อให้จะมีอุปสรรคอะไร ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นแค่ไหน เราก็มองให้มันเป็นเรื่องดีดีกว่า ถ้าเราขยันเราก็ทำได้ เป็นการฝึกความอดทนความพยายามของตัวเองด้วย

 

มีอะไรอยากจะบอกคนที่ฝันอยากเป็นแอร์ฯ แต่ไม่มั่นใจ เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมบ้างไหม

แอร์ฯ เป็นความฝันของผู้หญิงหลายคน ดูเป็นนางฟ้า แต่การเป็นแอร์ฯ มันไม่ได้สูงเกินเอื้อม ทุกคนเกิดมามีทั้งจุดแข็ง จุดด้อยกันทั้งนั้น ถ้าเราฝันอยากเป็นแอร์ฯ เราต้องหาจุดแข็งของตัวเองให้ได้ แล้วแสดงมันออกมา หรือถ้าเราด้อยตรงไหนก็ต้องพัฒนาตัวเอง มันไม่ได้ยากเกินไปสำหรับใครที่อยากติดปีก มันอยู่ที่ความพยายาม เราต้องสู้เพื่อความฝันของเรา อย่างเราพอมีโอกาสเข้ามา เราก็รีบสมัครแล้วพยายามอย่างเต็มที่ และเราก็ทำได้ ทำให้ตอนนั้นเรากลายเป็นคนแรกในคลาสที่โรงเรียนเตรียมแอร์ฯ ที่ได้ติดปีก

 

สิ่งที่คุณแอนทำมาทั้งหมดคงจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนธรรมดาก็สามารถกลายเป็นนางฟ้าได้ แค่มีใจรักและมุ่งมั่นที่จะเดินตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งน่าจะทำให้คนที่ฝันอยากเป็นแอร์ฯ แต่ไม่กล้าที่จะเดินตามฝัน เพราะมัวแต่คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม ไม่สูง หรือไม่เก่ง ได้รับแรงบันดาลใจดี ๆ พร้อมกับมองเห็นช่องทางที่จะพัฒนาจุดอ่อนของตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อที่จะเดินเข้าสู่สายอาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝันได้  

สำหรับคนที่อยากรู้ว่าอาชีพนี้จริง ๆ แล้วเขาทำอะไรกันบ้าง และมันจะเหมาะกับเราจริง ๆ ไหม JobThai อยากแนะนำให้ลองอ่านบทความ ศุภรดา รื่นใจชน: แอร์โฮสเตส นางฟ้าผู้ดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดู เพื่อที่คุณจะได้ทำความรู้จักกับอาชีพแอร์โฮสเตสได้มากยิ่งขึ้น

 

 

JobThai มี Line แล้วนะคะ

ติดตามสาระความรู้สำหรับคนทำงาน ที่ย่อยง่าย อ่านสนุก และพูดคุยทุกแง่มุมเกี่ยวกับการทำงานอย่างใกล้ชิดที่

เพิ่มเพื่อน

 

tags : career focus, career & tips, แอร์โฮสเตส, พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน, การทำงาน, คนทำงาน



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม