คุณแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการของ JobThai ได้นำเสนอรายงานผลสำรวจความคิดและแนวโน้มพฤติกรรมของคนทำงาน เกี่ยวข้องกับการหางาน สมัครงาน รวมถึงความคิดความรู้สึกต่าง ๆ ในโลกของการทำงาน ให้กับแขกผู้มีเกียรติที่ได้ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน “Insights of Digital Recruitment” ณ โรงแรม So Sofitel Bangkok เมื่อวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560
ผลสำรวจนี้ได้ทำการสำรวจข้อมูลไม่ว่าจะเป็นด้านพฤติกรรมหรือความคิดของคนทำงานมากที่สุด รวมถึงคลายข้อสงสัยว่าในแต่ละ Generation ของคนทำงานนั้น มีความคิดหรือพฤติกรรมในการทำงานแตกต่างกันจริงหรือไม่ จากการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนทำงานจากทั่วประเทศกว่า 6,000 คน เพื่อเป็นข้อมูลที่จะช่วยช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถมองเห็นภาพรวมเกี่ยวกับแนวโน้มพฤติกรรม รวมไปถึงความคิดของคนหางาน แล้วนำข้อมูลที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดแรงงานมีการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนกว่า 73% นั้นมีแผนที่จะเปลี่ยนงานใหม่ จากข้อมูลจากการสำรวจในครั้งนี้ได้เผยให้เห็นว่า จังหวัดที่คนทำงานอยากไปทำงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1) กรุงเทพมหานคร 26.90% อันดับ 2) ชลบุรี 9.83% อันดับ 3) สมุทรปราการ 6.61% อันดับ 4) ระยอง 5.47% และอันดับ 5) ปทุมธานี 4.86% ตามลำดับ

นอกจากจังหวัดที่อยากไปทำงานแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนยังต้องการที่จะไปทำงานในต่างประเทศด้วย โดยประเทศที่ได้รับความสนใจในการไปทำงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1) ญี่ปุ่น 17.39% อันดับ 2) สหรัฐอเมริกา 15.84% อันดับ 3) สิงคโปร์ 9.94% อันดับ 4) ออสเตรเลีย 8.39% และอันดับ 5) เกาหลีใต้ 7.45%
ทั้งนี้จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศทั้งหมด มีจำนวน 21% บอกว่าต้องการไปทำงานในประเทศกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC และอีก 7% บอกว่าอยากไปทำงานในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม หรือ CLMV

ในกลุ่มผู้ที่ต้องการหางานใหม่นั้นมีช่องทางที่เลือกใช้ในการหางาน สมัครงานคือ อันดับ 1) เว็บไซต์หางาน สมัครงาน 40% อันดับ 2) เว็บไซต์ของบริษัทที่ต้องการสมัคร 17.56% อันดับ 3) คนรู้จัก 11.73% อันดับ 4) Walk in ไปยังบริษัท 7.81% และ อันดับ 5) เว็บไซต์หางานเฉพาะทาง 5.90%

ในกลุ่มผู้ที่ต้องการหางานใหม่ได้ให้เหตุผลในการหางานใหม่ คือ อันดับ 1) ไม่พึงพอใจในเรื่องเงินเดือน คิดเป็น 22.86% อันดับ 2) ไม่มีความก้าวหน้าในสายงาน 19.33% อันดับ 3) ไม่พึงพอใจเรื่องสวัสดิการ 15.62% อันดับ 4) ไม่พึงพอใจเรื่องโบนัส 10.61% และอันดับ 5) งานที่ทำไม่มีความท้าทาย 9.84%
ในทางกลับกัน สำหรับเหตุผลที่คนทำงานที่ยังเลือกที่จะทำงานกับองค์กรเดิมต่อไปก็คือ อันดับ 1) เงินเดือนเป็นที่พึงพอใจ 18.19% อันดับ 2) มีเพื่อนร่วมงานที่ดี 12.27% อันดับ 3) มีสวัสดิการที่ดี 11.99% อันดับ 4) การเดินทางที่สะดวก 10.44% และอันดับ 5) บริษัทมีความมั่นคง 9.73%

โดยในทุก Generation ต่างก็ให้ความสำคัญในเรื่องเงินเดือนเป็นอันดับแรก ดังนั้นหากต้องเปลี่ยนงานใหม่ อัตราเงินเดือนที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่กว่า 37% บอกว่าต้องการเงินเดือนเพิ่มขึ้น 5-10% ตามด้วยต้องการเงินเดือนเพิ่มขึ้น 11-20% คิดเป็น 31% ต้องการเงินเดือนเพิ่มขึ้น 21-30% คิดเป็น 13% และต้องการเงินเดือนเพิ่มขึ้นถึง 30% ขึ้นไป มีจำนวน 12% ส่วนกลุ่มที่ต้องการเงินเดือนเท่าเดิม มีจำนวน 7%

การสำรวจยังเจาะลึกลงไปอีกว่านอกจากเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการพื้นฐานแล้ว คนทำงานในแต่ละ Generation ยังต้องการอะไรเพิ่มจากการมองหางานใหม่กันบ้าง โดย อันดับ 1) เป็นสิ่งที่ทั้ง 3 เจนเนอเรชั่นเลือกเหมือนกันคือต้องการโอกาสก้าวหน้าในสายงาน โดยคิดเป็น 30.44% อันดับ 2) ต้องการองค์กรที่มีงบประมาณในการส่งเสริมศักยภาพของพนักงาน 19.34% อันดับ 3) มีเวลาในการทำงานที่ยืดหยุ่น 18.85% อันดับ 4) มีสวัสดิการพิเศษอื่น ๆ เช่น ฟิตเนส รถรับ-ส่ง ฯลฯ 16.84% และอันดับ 5) มีสวัสดิการเงินออม 14.22%
โดยในกลุ่ม Gen Z ซึ่งถือเป็นกลุ่มแรงงานกลุ่มใหม่ที่เริ่มเข้ามาสู่ตลาดแรงงานยังเสริมเหตุผลว่าการที่องค์กรหรือบริษัทมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ก็เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกทำงานกับองค์กรนั้น ๆ

นอกจากการายงานผลการสำรวจในหัวข้อ “Insights of Digital Recruitment” จากคุณแสดงเดือนแล้วยังมีการบรรยายจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ กุลวิเศษชนะ อาจารย์ประจำสาขาการบริหารทรัพยากรมนุษย์และการประกอบการ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อ “Employer Branding in The Digital Age” เพื่อเป็นความรู้สำหรับนักบริหารทรัพยากรบุคคลให้ได้นำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการทำงาน
ด้วยหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อโลกแห่งการทำงานที่การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่านั้นมีลดลงเพราะอัตราการเกิดของประชากรลดลง ทำให้นักบริหารทรัพยากรบุคคลอยู่กันในโลกที่เรียกว่า Talent War การทำ Employer Branding เพื่อดึงดูดพนักงานที่เป็น Talent ให้มาสมัครงาน รวมถึงสมัครงานแล้วอยู่กับองค์กรนานๆ เป็นสิ่งสำคัญ โดย ดร.สมบูรณ์ได้นำเสนอแนวคิดว่า นักบริหารทรัพยากรบุคคลสมัยใหม่จะสร้าง Employer Branding ให้แข็งแรงได้ ต้องทำ Internal Branding ในองค์กรให้แข็งแรงก่อน โดยมีหลักการคือ รู้ รับ ร่วม เรียน เร่ง
|
รู้ คือ นักบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องรู้จักองค์กรอย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้ง Vision Mission Core Value ลีลาการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กรของตัวเองเป็นอย่างดี
รับ คือ Core Value ขององค์กรนั้นต้องตอบสนองกับธุรกิจ และ Core Value นั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในองค์กร นักบริหารทรัพยากรบุคคลต้องช่วยทำให้คนในองค์กรยอมรับวัฒนธรรมองค์กรนั้น ๆ เชื่อมั่นและทำตามได้
ร่วม คือ เมื่อรู้จัก รับรู้ และเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรเป็นอย่างดีแล้วก็ต้องให้ความร่วมมือ ร่วมทำตามวัฒนธรรมองค์กร เป็นแบบอย่างให้กับพนักงานคนอื่น ๆ เพราะวัฒนธรรมองค์กรที่ดีไม่ใช่ภาพมายาที่สร้างขึ้นมา แต่ต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกวินาทีของการทำงานในองค์กร ทุกคนจึงควรรับรู้และร่วมมือกัน
เรียน คือ เรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อนำเอาวัฒนธรรมองค์กรนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เร่ง คือ เร่งรัดจัดเต็ม ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้วัฒนธรรมองค์กรนั้นมีชีวิต ช่วยกันทำให้วัฒนธรรมองค์กรนั้นเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เกิดขึ้นจริงในองค์กร ไม่ใช่เพียงแค่คำสวยหรูที่ติดไว้ที่ผนังเท่านั้น
|
|
Employer Branding จึงไม่ใช่เป็นการสื่อสารปลายทางให้คนนอกองค์กรได้รับรู้อย่างเดียว แต่คือสิ่งที่อบอวลอยู่ในองค์กร เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวพนักงานตลอดเวลา ดังนั้น Employer Branding จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนายจ้างเท่านั้น นักบริหารทรัพยากรบุคคลมีหน้าที่ในการเป็นเจ้าภาพ ช่วยเหลือจัดการคอยค้นหาว่าสิ่งนั้นในองค์กรคืออะไร แต่คนที่สร้างวัฒนธรรมองค์กรนั้นจริง ๆ แล้วก็คือพนักงานทุกคน เป็นสิ่งที่คนในองค์กรจะต้องมีส่วนช่วยกันผลักดัน เป็นพลังที่เกิดจากการผลักดันจากภายในแล้วสื่อสารออกมาให้คนภายนอกได้เห็นภาพผ่านพฤติกรรมของคนในองค์กรทุกคนรวมถึงผู้บริหารระดับสูงก็ต้องเข้าใจ ยอมรับ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรนั้นด้วยเช่นกัน Employer Branding จึงจะแข็งแรงและสามารถแสดงให้คนนนอกองค์กรเห็นและสัมผัสมันได้จริงๆ
JobThai มี Line
แล้วนะคะ
ติดตามสาระความรู้สำหรับคนทำงาน ที่ย่อยง่าย อ่านสนุก และพูดคุยทุกแง่มุมเกี่ยวกับการทำงานอย่างใกล้ชิดที่
