กลับมาอีกครั้งกับมหกรรมอัปเดตเทรนด์ความรู้ประจำปีสำหรับคนทำงานสายการตลาดและเทคโนโลยี โดยคราวนี้ CREATIVE TALK ได้จับมือกับ Content Shifu จัดงาน AP Thailand Presents Marketing Insight & Technology Conference 2024 หรือ MITCON2024 ขึ้น 2 วันเต็มที่ไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 19 - 20 กันยายน 2024 ที่ผ่านมา ภายในงานจะมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง JobThai สรุปมาให้ทุกคนแล้วในบทความนี้!
งาน MITCON ปีนี้มาในธีม “The Age of Integration” ที่จะชวนนักการตลาด ผู้ให้บริการด้าน Martech ผู้ประกอบการ รวมถึงแบรนด์และเอเจนซี่ต่าง ๆ มา x กันเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาทวีคูณยิ่งขึ้น เริ่มกันตั้งแต่เซสชันแรกที่เป็นไฮไลต์ของงาน นั่นคือการชวนผู้บริหารจากต่างองค์กรมาเสวนาพูดคุยอัปเดตเทรนด์กันแบบจุใจ 4 ด้าน ได้แก่ เทรนด์ด้าน Market & Consumer, Communication, Martech และ Data
เทรนด์ตลาดและการบริโภคที่น่าจับตาในปี 2024
-
Omni-channel Integration ผู้บริโภคคาดหวังการที่จะได้รับประสบการณ์ในการซื้อหรือการใช้บริการแบบเดียวกันในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออฟไลน์ที่หน้าร้าน หรือช่องทางออนไลน์จากโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์ม E-commerce ต่าง ๆ
-
Gen Z Engagement กลุ่มลูกค้า Gen Z เพิ่มขึ้นและกลายเป็นอีกหนึ่งกำลังซื้อหลักในตลาด
-
Solo Economy จำนวนคนโสดเพิ่มมากขึ้น การบริโภคจึงเป็นสัดส่วนสำหรับคนเดียวมากขึ้น นักการตลาดอาจต้องวางแผนเจาะจงสำหรับคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
-
Pet Parents ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้นมาก ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องขยายตัวขึ้นด้วย เช่น คลินิกและโรงพยาบาลสัตว์ อาหาร ของเล่น และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์
-
Health & Wellness ผู้บริโภคหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพความเป็นอยู่มากขึ้น ทำให้ธุรกิจในกลุ่มนี้ขยายตัวตาม
6 ความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แบรนด์ต้องหาทางปรับตัวตาม
-
Digital Adaptation ผู้บริโภคอุดหนุนสินค้าและติดตามโปรโมชันจากแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น แบรนด์ต้องหันมาทำ Digital Marketing มากขึ้น
-
Conscious Consumption ผู้บริโภคระแวดระวังในการซื้อสินค้ามากขึ้น มีการเสิร์ชหาข้อมูล ดูรีวิว หาฟีดแบ็กสินค้าจากช่องทางต่าง ๆ ทำให้ใช้เวลาในการตัดสินใจกว่าจะซื้ออะไรสักอย่างนานกว่าเดิม
-
Experience over Product ผู้บริโภคไม่ได้มองแค่ตัวสินค้าเท่านั้น แต่ต้องการประสบการณ์ที่ดีจากการอุดหนุนหรือการใช้บริการด้วย
-
Health-driven Choices ผู้บริโภคมองหาสินค้าที่ดีและมีประโยชน์กับสุขภาพ ต่อให้ราคาสูงกว่าเดิมแต่ก็เต็มใจที่จะจ่าย
-
Value-oriented Behavior ผู้บริโภคให้คุณค่ากับสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน สิทธิความเท่าเทียม ถ้ารู้ว่าแบรนด์ให้ความสำคัญในสิ่งที่เขาให้คุณค่าก็จะเกิดความรู้สึกอยากสนับสนุนแบรนด์ด้วย
-
Omni-channel Flexibility การให้บริการของแบรนด์ต้องมีความยืดหยุ่นในทุกช่องทาง
เทรนด์ Communication ที่น่าสนใจ
เทรนด์ Martech ที่น่าสนใจในช่วงที่ผ่านมา
เทรนด์ Martech ที่น่าจับตาหลังจากนี้
เทรนด์ Data ที่น่าสนใจ
นอกจากเซสชันอัปเดตเทรนด์ประจำปีแล้ว ยังมีเซสชันบรรยายและเสวนาพูดคุยจากสปีกเกอร์ชั้นนำท่านอื่น ๆ อีกกว่า 40 เซสชัน โดย JobThai ได้นำเอาประเด็นจากเซสชันที่น่าสนใจมาสรุปให้ดังนี้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำการตลาดผ่าน Influencer และ Content Creator กลายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเพิ่มยอดขายขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หลายธุรกิจจึงเริ่มขยับเข้ามาทำการตลาดในรูปแบบนี้กันมากขึ้น ในเซสชันนี้ คุณขจรได้แนะนำไอเดียในการทำงานร่วมกับครีเอเตอร์เอาไว้ 6 รูปแบบ ได้แก่
-
Sponsorship Post (Advertorial) เอาสินค้าไปให้ครีเอเตอร์โพสต์บนช่องทางของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
-
Experience > Brief สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับครีเอเตอร์เพื่อให้เขานำไปเล่าต่อ เช่น การจัดงานครีเอทีฟเพื่อแนะนำสินค้าแบบไม่เหมือนใคร แล้วเชิญครีเอเตอร์มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ วิธีนี้อาจช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีกว่าการส่งบรีฟทื่อ ๆ ให้ครีเอเตอร์ไปทำคอนเทนต์
-
PR Approach เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับครีเอเตอร์เพื่อให้เกิดการพูดถึงแบบออแกนิก ไม่ต้องใช้งบในการจ้างทำคอนเทนต์ เช่น ส่งสินค้าหรือของสัมมนาคุณไปให้ครีเอเตอร์ที่มีสไตล์หรือแนวทางการทำคอนเทนต์เชื่อมโยงกับแบรนด์ในวันพิเศษ
-
Event Support เข้าไปสนับสนุนการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือแบรนด์ของตัวเอง เช่น แบรนด์กล้องถ่ายรูปอาจเข้าไปสปอนเซอร์งานอบรมให้ความรู้เพื่อปั้นครีเอเตอร์รุ่นใหม่ และจัดบูธในงานอีเวนต์เพื่อให้กลุ่มครีเอเตอร์เหล่านี้สามารถทดลองใช้กล้องของแบรนด์ได้
-
Affiliate Program เปิดให้ครีเอเตอร์และคนทั่วไปหยิบเอาสินค้าของแบรนด์ไปทำคอนเทนต์โฆษณา โดยมีเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งให้กับครีเอเตอร์ถ้ามีคนซื้อสินค้าของแบรนด์จากการรับชมคอนเทนต์ของเขา
-
Long-term Relationship ดูแลและซัปพอร์ตครีเอเตอร์เพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้เราสามารถทำงานด้วยกันได้ในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำการตลาดคือการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ในเซสชันนี้คุณณัฐพลเลยมาแนะนำวิธีทำ Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้เราฟัง สำหรับคอนเซปต์ในการแบ่งกลุ่มทั่วไปนั้นอาจแบ่งจากเพศ อายุ จังหวัด หรือภูมิภาค แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถทำ Segmentation ได้หลากหลายและเฉพาะเจาะจงกว่านั้น ซึ่งการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียดจะส่งผลให้เราเพิ่มยอดขายหรือให้ประสบการณ์ในการบริการลูกค้าที่ดีขึ้นได้ คุณณัฐพลได้แชร์ไอเดียและ Case Study ในการแบ่งกลุ่มเป้าหมายดังนี้
-
แบ่งจากรายได้ ช่วยให้เราสามารถแนะนำโปรโมชันและเสนอสิทธิพิเศษที่เหมาะกับรายได้ของกลุ่มเป้าหมายได้ เหมาะสำหรับกลุ่มธุรกิจการเงินและบัตรเครดิต เช่น กลุ่มที่มีรายได้ 15,000 – 29,999 บาทต่อเดือน กลุ่มที่มีรายได้ 30,000 – 49,999 บาทต่อเดือน
คนทำงานสายการตลาดและสายเทคโนโลยีเป็นกลุ่มแรงงานที่เป็นที่ต้องการในตลาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในปัจจุบัน ความต้องการคนทำงานสายนี้เพิ่มขึ้น ทักษะที่ต้องการจากพนักงานคนหนึ่งก็มีมากขึ้น อีกทั้งปัญหาแรงงานคนไทยไหลไปต่างประเทศก็พุ่งสูงขึ้น ในเซสชันนี้ คุณอภิชาตและคุณวิโรจน์จึงได้มาแชร์แนวทางในการมองหาและรักษา Talent หรือคนทำงานที่มีศักยภาพสูงให้เราฟัง
องค์กรต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า Talent ที่ตัวเองต้องการคือ Talent ที่มีทักษะและศักยภาพในการทำงานสูงมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว หรือต้องการมองหาคนที่มีศักยภาพในการเติบโต องค์กรสามารถปั้นให้กลายเป็น Talent ได้ในอนาคต หากองค์กรระบุเป้าหมายที่ต้องการได้ชัดเจน การมองหาคนก็จะทำได้ง่ายขึ้น
สิ่งที่ดึงดูดคนทำงานได้เสมอคือเงินเดือน ถ้าอยากให้เขาทำงานกับเรา ค่าตอบแทนที่มอบให้เขาก็ต้องสูงพอ ลองเช็กดูว่า Range เงินเดือนในตลาดแรงงานสำหรับสายงานหรือตำแหน่งงานนั้น ๆ อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ แล้วลองประเมินดูว่าเรามีกำลังจ่ายมากพอไหม เพราะถ้าอยากดึงดูด Talent ก็ต้องสู้ด้วยค่าตอบแทนที่สูงกว่าตลาด
จุดร่วมของคนทำงานศักยภาพสูงคือชอบงานที่มีความท้าทายและมีโอกาสให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ดังนั้นหากเราดึง Talent ให้เข้ามาในองค์กรได้ แต่เนื้องานจำเจ ไม่แปลกใหม่ ไม่มีช่องทางให้เติบโต สุดท้ายเขาก็จะเบื่อและเริ่มมองหางานใหม่ที่ท้าทายความสามารถของเขา
องค์กรต้องหาให้เจอว่าเป้าหมายชีวิตของพนักงานคืออะไร แล้วหาจุดตรงกลางระหว่างเป้าหมายของพนักงานกับเป้าหมายของบริษัท ทำให้พนักงานรู้สึกว่าการทำงานกับเราเป็นการทำเพื่อเขาตัวเองด้วยเหมือนกัน หากทำได้ พนักงานก็จะรู้สึกว่าการทำงานในองค์กรของเราสร้างความหมายให้ชีวิตเขา
การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงาน (Employee Experience) เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาพนักงาน โดยประสบการณ์ที่ดีนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนสมัครงาน การรับเข้าทำงาน On-boarding และสอนงาน ตลอดจนการทำงานในทุก ๆ วันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย องค์กรต้องให้ความสำคัญกับทุกปัจจัยที่ส่งผลส่งผลกับการสร้างประสบการณ์ของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการรับสมัครและสัมภาษณ์งาน เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ออฟฟิศ บรรยากาศและรูปแบบการทำงาน ไปจนถึงวัฒนธรรมองค์กร หากพนักงานรู้สึกดีกับองค์กรก็ย่อมอยากทำงานกับบริษัทไปนาน ๆ หรือถึงแม้จะลาออกมาแล้ว หากมีโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมก็อาจสนใจและอยากกลับมาทำงานกับเราใหม่อีกครั้ง
ใครที่สนใจอยากฟังบรรยายและรับชมเซสชันอื่น ๆ ที่เหลือแต่พลาดโอกาสร่วมงานนี้ไปก็ไม่เป็นไร เพราะ MITCON2024 เปิดให้รับชมเนื้อหาย้อนหลังได้ทุกเซสชันในรูปแบบออนไลน์ สามารถเข้าไปซื้อบัตรเพื่อรับชมคลิปทั้งหมดในราคา 1,990 บาทได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/MITCON2024 ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2025