เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ได้มีการจัดงาน Ai Thailand Conference 2024: The Next Future เพื่อแบ่งปันความรู้ในการทำธุรกิจและพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญวิถีชิวิตและการทำงาน โดยในงานมี Sessions ที่น่าสนใจ ดังนี้
โดย ธีรานนท์ ศิริกุลพิริยะ (SOLUTIONS IMPACT)
ทุกวันนี้ AI กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในโลกธุรกิจ องค์กรไหนที่มีคนใช้ AI เป็น ก็จะมีวิธีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานขององค์กรได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามองค์กรส่วนใหญ่ยังมีการใช้งาน AI แค่ระดับบุคคลหรือแค่บางแผนกเท่านั้น ถ้าองค์กรของเราอยากเพิ่มผลิตภาพของธุรกิจ (Business Productivity) ในระดับองค์กร ต้องทำ 2 เรื่องดังนี้
1. ใช้ AI เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน
-
ลดภาระงานที่ใช้เวลามาก เปลี่ยนงานทำซ้ำให้เป็นเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด
-
ค้นหาข้อมูลเชิงลึกสำคัญ (Key Insight) ของบริษัทเราเองว่ากระบวนการไหนนำ AI มาใช้จริงได้อย่างไรบ้าง
-
ขยายผลการใช้ AI ลงไปในกระบวนการทำงาน และทำให้องค์กรกลายเป็น AI-Driven Organization หรือองค์กรที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วย AI โดยเริ่มต้นจากแผนกหนึ่งให้สำเร็จก่อนแล้วนำไปใช้กับแผนกอื่น ๆ ในองค์กรต่อไป
2. เปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารจัดการพนักงาน
-
ต้องพัฒนาพนักงานให้มีทักษะการใช้งาน AI ไปพร้อมกับการเสริมทักษะที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
-
สร้างผู้นำแห่งอนาคตที่พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
-
สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
หากพัฒนาทั้งสองเรื่องนี้ได้ จะไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI หรือ เทคโนโลยีอื่น ๆ องค์กรของเราก็จะสามารถปรับตัวและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจได้
โดย ธีรานนท์ ศิริกุลพิริยะ (SOLUTIONS IMPACT), กลกิตติ์ เกลิงนวชาติ (BNI), วรภัทร ชวนะนิกุล (BOON RAWD TRADING) และ อรรณพ สลิดบัว (GDK)
ความก้าวหน้าของการพัฒนา AI ในปัจจุบันคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของมนุษย์ และ ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีจะพัฒนาอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด เพราะฉะนั้นโอกาสและวิธีการทำงานใหม่ ๆ ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในอนาคตการใช้ AI อย่างแพร่หลายจะทำให้เกิดเทรนด์ ดังนี้
-
การใช้ AI ในการบริหารจัดการข้อมูลทางธุรกิจจะมีความแม่นยำมากขึ้น ส่งผลให้การวิเคราะห์และการตัดสินใจทางธุรกิจทำได้ดีขึ้น
-
เทคโนโลยีที่ใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของระบบ เช่น Autonomous Vehicles หรือพาหนะไร้คนขับจะมาเร็วขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งในเชิงธุรกิจ
-
การตลาดแบบตอบสนองต่อลูกค้ารายบุคคลจะมีความละเอียดมากขึ้น เครื่องมือ AI จะเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าและให้ข้อเสนอที่มีประสิทธิภาพมากกว่ายุคนี้
-
หุ่นยนต์เป็นแรงงาน (Humanoid) ที่ทำหน้าที่แทนมนุษย์ในเรื่องต่าง ๆ จะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
-
ผู้ประกอบการรายย่อยหรือคนที่อยากทำธุรกิจด้วยตัวเองจะเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น และมีเครื่องมือ AI จำนวนมากในการช่วยเหลือในการทำธุรกิจ
เมื่อโลกธุรกิจกำลังจะเปลี่ยนขนานใหญ่ ผู้นำในอนาคตจึงต้องปรับตัวให้ทัน ซึ่งสิ่งที่ผู้นำควรทำคือ
1. รู้ลึกในสิ่งที่ตัวเองทำ ธุรกิจของเรามีจุดแข็งที่สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งยังไงบ้าง รู้จุดอ่อนจุดแข็งขององค์กร ไปจนถึงการขยายธุรกิจ
2. มีความยืดหยุ่นและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ ตัดสินใจได้ว่าเทคโนโลยีตัวไหนเหมาะสมกับองค์กรและน่านำมาปรับใช้ในการพัฒนาการทำงานได้
3. ต้องมีทักษะการแยกแยะ วิเคราะห์และตัดสินใจให้เป็น แต่เมื่อพบว่าตัดสินใจผิดพลาด ก็ต้องกล้าที่จะปรับเปลี่ยนให้ทันตามสถานการณ์
4. ต้องสื่อสารให้เป็น นอกจากนี้ต้องเข้าใจทีมว่าคนไหนเก่งอะไร และรู้จักวิธีที่จะพาคนไปในทิศทางที่อยากให้เป็น สื่อสารเป้าหมายของเราให้ชัดเจนและโน้มน้าวคนในทีมให้ทำงานให้เราให้ได้
5. การทำงานร่วมกับผู้อื่นทั้งในองค์กร และมีพันธมิตรที่หลากหลายภายนอกองค์กร เพราะผู้นำไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
โดย สุธีรพันธุ์ สักรวัตร (SCBX GROUP), จิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ (MARKETING TECH THAILAND GROUP) และ ศิริพงศ์ เตียวพิพิธพร (INFOTECH MAKER)
ในมุมมองของนักการตลาด ความจริง AI ได้เข้ามามีบทบาทกับการทำงานมาตั้งแต่ยุคต้นปี 2000 แล้ว จากเครื่องมือการตลาดที่อยู่ในระบบของ Google, Amazon หรือ Facebook จนเมื่อ Generative AI อย่าง ChatGPT ได้รับความนิยม ทำให้คนทำงานทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดย AI ได้เข้ามาช่วยให้คนทำงานทั่วไปสามารถสร้างทางเลือกที่หลากหลายในการผลิตผลงานและใช้หาไอเดียตั้งต้นก่อนต่อยอดเป็นผลงานจริง
ในขณะที่คนทำงานการตลาดมีเครื่องมือ AI ในปัจจุบันมีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท เช่น
โดยเครื่องมือ AI เหล่านี้จะช่วยนักการตลาดในกระบวนการทำงานต่าง ๆ ตั้งแต่การเก็บข้อมูลของลูกค้า จัดระเบียบและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ก่อนทำแคมเปญการตลาดที่มีความแม่นยำตรงกับพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เมื่อ AI ทำงานแทนคนได้ขนาดนี้ สิ่งที่คนทำงานต้องปรับตัวคือการพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ที่ AI มาแทนไม่ได้อย่างทักษะการคิดวิเคราะห์ และการตัดสินใจ และตรวจสอบการทำงานของ AI ทุกครั้ง
โดย สุทธิดา กิติเรืองแสง (SOLUTIONS IMPACT) และ อภิชาติ ขันธวิธิ (QGEN)
การทำงานในยุค AI นั้นสิ่งที่ทำให้เราได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจคือ ความเร็วและคุณภาพในการทำงานของคนในองค์กร ดังนั้นวัฒนธรรมองค์กรจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะพนักงานที่อยู่ในวัฒนธรรมแบบเดียวกัน มีค่านิยมในการทำงานเหมือนกัน เมื่อต้องตัดสินใจ พวกเขาแทบจะไม่ต้องสื่อสารหรืออธิบายกันมาก ทำให้พวกเขาทำงานได้เร็วเร็วกว่าคู่แข่ง เมื่อ AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงานบางอย่างก็ต้องประเมินว่า การทำงานด้วย AI นั้นส่งกระทบต่อเป้าหมายและวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่ ถ้ากระทบ เราต้องกลับมาทบทวนว่าวัฒนธรรมองค์กรเดิม (Default Culture) นั้นเป็นอย่างไร ยังทำงานแบบเดิมต่อไปได้หรือไม่ หรือถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงให้ทันยุค AI ต้องมีการออกแบบรูปแบบการทำงานหรือวัฒนธรรมการทำงานใหม่ให้สอดคล้องกันอย่างไรบ้าง
ในด้านการพัฒนาทักษะในยุค AI มี 3 สิ่งที่ต้องใส่ใจมากขึ้น
1. ต้องมี Critical Thinking แยกให้ออกว่างานที่เราได้มาจาก AI สิ่งไหนถูกต้อง สิ่งไหน AI ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ สุดท้ายมนุษย์ต้องเป็นคนตัดสินใจ
2. เมื่อ AI เก่งขึ้น ทำงานแทนมนุษย์ได้หลายอย่าง มนุษย์ต้องพัฒนาไปแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และให้ AI ทำงาน พื้นฐานแทน
3. เพิ่มความละเอียดในการทำงาน (Attention to Detail) เพราะโลกยุค AI หมุนเร็ว มีข้อมูลมากมาย คนทำงานควรใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และมีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้น
โดย รวิศ หาญอุตสาหะ (SRICHAND & MISSION TO THE MOON), คงเกียรติ ฉัตรหิรัญทรัพย์ (BEYOND TRAINING) และ สุทธิดา กิติเรืองแสง (SOLUTIONS IMPACT)
ประเด็นความท้าทายที่ HR ในปี 2024 ต้องเจอ ได้แก่ 1. รักษาคนให้ได้ 2. หาคนให้ทัน 3.ปั้นคนให้เก่ง นอกจากนี้ HR ยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องธุรกิจให้มาก สิ่งที่สำคัญ คือการตอบสนองความต้องการของผู้นำทางธุรกิจทั้งระดับผู้บริหารและหัวหน้าแผนกหรือหน่วยธุรกิจต่าง ๆ โดยจะต้องเข้าใจผู้นำเหล่านั้น และรู้จักหาคนที่เหมาะกับสไตล์การทำงานของพวกเขา เพราะแม้จะหาคนเก่งได้ แต่เข้ากับองค์กรไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องหาคนใหม่
ในด้านการดูแลพนักงานเดิม ต้องใส่ใจกับความก้าวหน้าของพนักงาน ต้องคุยกับพนักงานในเชิงลึกถึงความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา เช่น พนักงานบางคนเก่งเรื่องงาน แต่อาจจะไม่เก่งการบริหารทีม หรือบางคนทำงานไม่โดดเด่นแต่อาจจะมีความสามารถในการเป็นผู้นำที่ดี อย่า Promote คนเก่งงานขึ้นมาเป็นหัวหน้าเพราะเขาอาจจะเป็นหัวหน้าที่ใช้คนไม่เป็น แต่ให้แต่งตั้งคนที่เก่งคน เก่งการสื่อสารขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน
สำหรับทักษะสำคัญที่ HR จะต้องมีในยุคของ AI คือ ข้อมูล ให้เราคิดวิเคราะห์ให้เป็น ตั้งคำถามให้เก่ง ค้นหาให้เจอว่าผู้นำในองค์กรต้องอะไร ต้องการส่งเสริมให้พนักงานในทีมได้อะไรจากการทำงาน และสุดท้ายคือ HR ควรมองตัวเองในฐานะ Strategic Partner ขององค์กรว่า อย่าเน้นที่ตัวกิจกรรมมากเกินไป แต่ให้ดูว่า HR ทำอะไรได้บ้างเพื่อสนับสนุนให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีทางธุรกิจได้มากขึ้น
3 องค์ประกอบสำคัญในการใช้ Generative AI ให้ประสบความสำเร็จในองค์กร
1.องค์ความรู้ของตัวองค์กร
2. ทักษะที่จำเป็นของพนักงาน
-
ทักษะการตั้งคำถาม
-
ทักษะการคิดวิเคราะห์
-
การมอบหมายงาน
-
การคิดเชิงสร้างสรรค์
-
Growth Mindset
3. เครี่องมือ AI
-
AI Model ที่เหมาะสมกับธุรกิจ
-
จริยธรรมการใช้ AI อย่างถูกวิธี
-
Prompt Engineering
-
การอัปเดตความรู้การใช้งาน AI ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
เมื่อมีการพัฒนาทั้ง 3 องค์ประกอบไปพร้อม ๆ กัน คือ พนักงานและผู้นำขององค์กรของเราเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี พนักงานใช้ทักษะที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กรไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับคนหรือการทำงานกับ AI และมีการใช้เครื่องมือ AI อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับยุค AI ได้อย่างแน่นอน
โดย รวิศ หาญอุตสาหะ (SRICHAND & MISSION TO THE MOON)
ในประวัติศาสตร์โลก เทคโนโลยีที่ผ่านมาทำหน้าที่เป็นเครื่องทุ่นแรงของมนุษย์ แต่ไม่เคยมีเทคโนโลยีตัวไหนที่ฉลาดเกินกว่ามนุษย์ จนกระทั่งการถือกำเนิดของ AI โดยเฉพาะ Generative AI ที่สามารถทำงานได้ดีพอ ๆ กับมนุษย์ และสามารถทำงานที่มนุษย์ต้องใช้เวลาทำหลายชั่วโมงให้เสร็จได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
ในอนาคตมนุษย์ควรปล่อยให้ AI ทำงานที่มีคุณค่าน้อยแต่ใช้เวลานาน และมนุษย์ก็ต้องพัฒนาทักษะการทำงานด้านอื่นแทน โดยทักษะที่คนทำงานควรพัฒนาตั้งแต่วันนี้มี 3 กลุ่มทักษะด้วยกันคือ
-
Cognitive Skill เช่น การคิดนอกกรอบ มองเห็นทางออกที่ใครคาดไม่ถึง หรือการกล้าคิด ท้าทายความเชื่อเดิม ๆ
-
Technology Skill เช่น การเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน
-
People Skills เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) และ การเป็นผู้ฟังที่ดี
โดย จิณณ์ณัฏฐ์ พรหมนุรักษ์ (LEARNING HUB), อรรณพ สลิดบัว (GDK), นกรณ์ พฤกษ์พิพัฒน์เมธ (CONICLEX) และ ดร. นารา กิตติเมธีกุล (ENJOY LEARNING PEOPLE)
ไม่ว่าจะยุคไหนผู้นำที่ดีจะประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ความรู้ (Knowledge) ทักษะการทำงาน (Skill) และ ทัศนคติที่ดี (Attitude) เมื่อเข้าสู่ยุค AI โลกธุรกิจมีข้อมูลไหลเวียนมากขึ้น มีเครื่องมือและเทคโนโลยีให้หยิบใช้มากมาย ผู้นำจึงต้องรู้จักเลือกใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์และตัดสินใจให้เร็วขึ้นตามระบบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ในมุมมองขององค์กรที่ต้องการพัฒนาผู้นำทางธุรกิจก็ต้องมี 3 สิ่งที่ต้องพัฒนา คือ
1. ความรู้เชิงเทคนิค (Technical Skill) พัฒนาได้ง่ายที่สุด แต่ก็ตกยุคเร็วที่สุดเช่นกัน ต้องพัฒนาตัวเองให้ทัน
2. ทักษะการทำงานร่วมกับคน (Human Skill) ทำยาก ต้องใช้เวลาพัฒนา
3. ทักษะการคิด (Thinking Skill & Mindset) เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานทุกอย่าง และเป็นความสามารถที่ทำให้เกิดการวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการตัดสินใจที่ AI ยังไม่สามารถทำได้ดีเท่ามนุษย์
ความจริงแล้วทั้ง 3 สิ่งมีความสำคัญ แต่ถ้าองค์กรมีงบประมาณจำกัดแต่อยากลงทุนให้คุ้มค่าที่สุด ควรพัฒนาทักษะการคิดก่อนเป็นอันดับแรก
ทิ้งท้ายด้วยขั้นตอนในการพัฒนาผู้นำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานในยุค AI ต้อง มี 4 ขั้นตอนได้แก่
1. สร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการพัฒนาตัวเอง (Awareness) ถ้าคนยังไม่มีเป้าหมายในการพัฒนา จะไปต่อลำบาก องค์กรต้องหาวิธีจูงใจ
2. ให้คนเปลี่ยนทัศนคติ (Mindset) ให้สนใจการเรียนรู้ พวกเขาจะอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร
3. พัฒนาทักษะในการทำงาน (Skill Development)
4. มีกลไกในการติดตามประเมินผล (Feedback Loop) ให้พนักงานมีพื้นที่แชร์สิ่งที่เขาได้เรียนรู้มา ได้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน