มนุษย์เงินเดือนหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ผ่านหูกันมาบ้าง แต่อาจจะยังไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้ว กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คืออะไร มีความสำคัญยังไง แล้วเราจำเป็นต้องมีหรือเปล่า บทความนี้ JobThai จะพาไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กันให้มากขึ้น เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมาะกับคุณหรือไม่ และจะช่วยสร้างความมั่นคงในอนาคตได้อย่างไร
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund: PVD) คือกองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินให้แก่ลูกจ้างเมื่อออกจากงาน เกษียณอายุ หรือในกรณีทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต โดยเงินกองทุนจะมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายส่วนหนึ่ง เรียกว่า "เงินสะสม" และนายจ้างจ่ายเข้าอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า "เงินสมทบ" ซึ่งเงินเหล่านี้จะถูกนำไปบริหารการลงทุนโดยบริษัทจัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนงอกเงยในระยะยาว
หลักการทำงานของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นไม่ซับซ้อนเลย โดยจะมีการแบ่งเงินออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ
- เงินสะสม (Employee’s Contribution) เงินที่หักจากเงินเดือนของลูกจ้างเองในแต่ละเดือน ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้สะสมได้ตั้งแต่ 2% - 15% ของค่าจ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับของกองทุนแต่ละบริษัท และความสมัครใจของลูกจ้าง
- เงินสมทบ (Employer’s Contribution) เงินที่นายจ้างจ่ายเพิ่มเข้ามาในกองทุนให้กับลูกจ้าง โดยทั่วไปนายจ้างจะจ่ายสมทบในอัตราที่ไม่น้อยกว่าเงินสะสมของลูกจ้าง และไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง เช่น หากลูกจ้างสะสม 5% นายจ้างอาจจะสมทบให้อีก 5% หรือมากกว่านั้นตามนโยบายของบริษัท
เงินทั้งสองส่วนนี้จะถูกนำไปรวมกันในบัญชีชื่อของลูกจ้างแต่ละคน และบริษัทจัดการกองทุนที่ได้รับมอบหมายจะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนที่ลูกจ้างได้เลือกไว้ เพื่อให้เงินออมของเราเติบโตขึ้น
ควรจะสะสมเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพกี่เปอร์เซ็นต์ดี? คำตอบคือ "แล้วแต่ความพร้อม" และตาม “นโยบายของบริษัท" โดยทั่วไปกฎหมายกำหนดให้ลูกจ้างสามารถสะสมได้ตั้งแต่ 2% สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินเดือน ส่วนนายจ้างก็จะสมทบตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในข้อบังคับกองทุนของบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่มักจะสมทบในอัตราเท่ากับที่ลูกจ้างสะสม หรืออาจมีเพดานสูงสุด
คำแนะนำเบื้องต้น คือลองตรวจสอบกับฝ่ายบุคคลของบริษัทคุณดูก่อนว่า นายจ้างมีนโยบายสมทบสูงสุดให้ที่กี่เปอร์เซ็นต์ หากคุณมีความสามารถในการออมถึงระดับนั้น การเลือกสะสมในอัตราที่นายจ้างสมทบให้สูงสุดก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเหมือนเราได้เงินเพิ่มจากนายจ้างฟรี ๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ทำให้สภาพคล่องทางการเงินในปัจจุบันของเราตึงจนเกินไป เพราะฉะนั้นการวางแผนการเงินส่วนบุคคลอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นมีข้อดีหลายประการที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ไม่ควรมองข้าม
ช่วยออมเงิน
สำหรับบางคนที่เก็บเงินไม่เก่ง การมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นตัวช่วยชั้นดี เพราะจะมีการหักเงินจากบัญชีเงินเดือนเข้ากองทุนโดยอัตโนมัติทุกเดือน ทำให้เกิดวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว
ตัวช่วยบริหารเงิน
เงินที่เราใส่เข้าไปในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลและนำเงินไปลงทุนให้ตามนโยบายที่เราเลือก ซึ่งมีหลากหลายระดับความเสี่ยงให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละคน การมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยดูแล ก็เหมือนมีคนช่วยในเรื่องเงิน โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาไปบริหารจัดการด้วยตัวเองทั้งหมด ซึ่งคนทำงานที่อาจไม่มีเวลาศึกษาเรื่องการลงทุนมากนัก การมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจึงตอบโจทย์ได้ดี
สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ข้อดีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือเงินสะสมที่เราใส่เข้าไปในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในแต่ละปี สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาทแรก และส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง และไม่เกิน 490,000 บาท เมื่อรวมกับ RMF, SSF, กบข., กอช. และประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ถือเป็นการประหยัดภาษีไปได้อีกทางหนึ่ง
มีเงินสำรองเก็บไว้ใช้
เป้าหมายหลักของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคือการเก็บสะสมเพื่อเป็นเงินก้อนสำหรับอนาคต ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เราต้องลาออกจากงาน ก็จะมีเงินส่วนนี้มาช่วยประคองในช่วงที่กำลังหางานใหม่ หรือสำคัญที่สุดคือเป็นเงินเก็บไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณอายุ ช่วยให้เรามีชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเป็นภาระของใคร
เมื่อถึงวันที่เราต้องลาออกจากงานเดิม หลายคนอาจสงสัยว่าจะจัดการกับเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรดี โดยทั่วไปแล้วเราจะมีทางเลือกหลัก ๆ ดังนี้
- คงเงินไว้ในกองทุนเดิม หากเรายังไม่อยากรับเงินก้อนออกมา หรือยังไม่ได้งานใหม่ เราสามารถแจ้งความประสงค์ขอคงเงินทั้งหมด (ทั้งส่วนของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์) ไว้ในกองทุนของบริษัทเดิมก่อนได้ ซึ่งจะมีระยะเวลาให้คงเงินไว้ได้ตามที่ข้อบังคับกองทุนกำหนด (เช่น ไม่เกิน 1 ปี หรือจนกว่าจะอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์) ระหว่างนี้เงินของเราก็จะยังคงได้รับการบริหารจัดการและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนต่อไป
- ย้ายเข้ากองทุน PVD ไปที่บริษัทใหม่
ถ้าบริษัทใหม่ที่เราจะไปทำงานด้วยมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน เราสามารถโอนย้ายเงินกองทุนทั้งหมดจากที่เก่าไปยังกองทุนของที่ใหม่ได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้เงินออมเพื่อการเกษียณของเราต่อเนื่องและไม่สะดุด
- โอนย้ายเงินไปกองทุน RMF สำหรับ PVD
อีกทางเลือกหนึ่งคือการโอนย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่รับโอนเงินจาก PVD โดยเฉพาะ (PVD to RMF) ซึ่งจะช่วยให้เรายังคงสิทธิประโยชน์ทางภาษีบางอย่างไว้ได้ และเงินยังคงถูกลงทุนต่อไป
โดยทั่วไปแล้ว สมาชิกกองทุนจะได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ ซึ่งมีหลายกรณี เช่น
- เมื่อเกษียณอายุ โดยทั่วไปคือเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และมีอายุสมาชิกกองทุนต่อเนื่องครบ 5 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินทั้งส่วนของเงินสะสม ผลประโยชน์ของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบ โดยเงินก้อนนี้มักจะได้รับยกเว้นภาษี
- เมื่อลาออกจากงาน หากลาออกก่อนเกษียณอายุและอายุสมาชิกกองทุนยังไม่ครบตามเงื่อนไข (เช่น ไม่ครบ 5 ปี) อาจจะได้รับเงินไม่เต็มจำนวน โดยเฉพาะในส่วนของเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละกองทุน
- เมื่อทุพพลภาพ สมาชิกที่ทุพพลภาพจนไม่สามารถทำงานได้ ก็มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุน
- เมื่อเสียชีวิต เงินกองทุนทั้งหมดจะตกเป็นของผู้รับผลประโยชน์ที่สมาชิกได้ระบุไว้
ทั้งนี้ เงื่อนไขการรับเงินและสิทธิประโยชน์ทางภาษีอาจแตกต่างกันไปในแต่ละกรณีและตามข้อบังคับของแต่ละกองทุน ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดอีกครั้ง

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือสวัสดิการทางการเงินที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือน เพราะไม่เพียงแต่ช่วยสร้างวินัยในการออมเงินระยะยาว แต่ยังได้รับเงินสมทบเพิ่มจากนายจ้าง มีผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหารเงินลงทุนให้ และยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย แม้ว่าการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอาจจะไม่ได้บังคับ แต่ก็นับเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชีวิตหลังเกษียณ ดังนั้น หากบริษัทของคุณมีสวัสดิการนี้ อย่าลืมศึกษาข้อมูลและพิจารณาเข้าร่วม เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเองในระยะยาว
ที่มา:
finnomena.com
principal.th
thaipvd.com