เมื่อตอนที่เรายังเรียนอยู่ เราก็จะมีความคิดในเรื่องการทำงานออฟฟิศแบบหนึ่ง แต่พอเราได้เข้าไปทำงานจริง ๆ ไปเจอกับสิ่งที่เราไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตวัยเรียน ไม่ว่าจะเป็น งานหนักที่มาพร้อมเดตไลน์ หัวหน้าสั่งอะไรก็ต้องทำให้ได้ หรือเพื่อนร่วมงานหลายแบบที่ต้องรับมือให้ไหว ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันทำให้สิ่งที่เราเคยคิดเปลี่ยนไป หรือเรียกได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ได้รู้จากประสบการณ์การทำงานซึ่งมหาวิทยาลัยไม่เคยบอก วันนี้ JobThai จึงขอหยิบเอา 10 สิ่งที่ได้รู้จากการเป็นมนุษย์เงินเดือนมาฝาก
หลายคนชอบบ่นเรื่องเงินเดือนว่าบริษัทที่ทำจ้างด้วยเงินเดือนหลักหมื่น แต่อยากได้งานหลักแสน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการทำงานในทุกบริษัทต่างก็มีปัญหาและความท้าทายของตัวเอง และการที่เขาจ้างเราเข้าไปทำก็เพื่อให้เราไปแก้ปัญหาตรงนั้นของเขา หรือทำให้สิ่งต่าง ๆ มันดีกว่าเดิม เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับบริษัทหรือลูกค้า ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับที่เมื่อเราจ่ายเงินไปแล้ว เราก็ต้องอยากได้ของที่ดีที่สุดกลับมา แต่ในกรณีที่บริษัทต้องการให้ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด ทางบริษัทก็จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากเราก่อน และต้องมีการจ่ายตอบแทนเพิ่มเติมให้เหมาะสม รวมถึงต้องทำงานล่วงเวลาไม่เกิน 36 ชม./สัปดาห์ เพราะถ้าเกินกว่านี้จะถือว่าผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
การอยู่ในสังคมการทำงานได้อย่างสงบสุขนั้น เราต้องมีวุฒิภาวะที่โตมากพอ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการควบคุมอารมณ์ได้ และไม่วู่วาม ทุกคนรู้ดีว่าในสังคมการทำงานมีคนหลายประเภท มีทั้งคนที่ดี คอยให้ความช่วยเหลือ และคนแบบที่พร้อมจะทำให้วันทั้งวันของเราเป็นเหมือนฝันร้าย ดังนั้นเมื่อเกิดอารมณ์โมโหจากการกระทำหรือคำพูดของคนอื่น อย่าปล่อยให้อารมณ์แย่ ๆ พวกนั้นพาไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้าย ใช้สติ คิดให้รอบคอบ และปล่อยวาง ถ้าการอดทนมันไม่ได้ส่งผลกระทบกับเรื่องงานหรือตัวเรา เพราะความอดทนอดกลั้นได้นั้นมันจะทำให้เราดูโตเป็นผู้ใหญ่ คิดเอาไว้เสมอว่าถ้าอะไรที่พูดไปแล้วได้ไม่คุ้มเสีย การเงียบไว้ก็เป็นทางเลือกที่ดี
หลายคนคิดว่าแค่ทำงานเก่งก็พอ การสื่อสารหรือการนำเสนอไม่ได้สำคัญเพราะมันก็แค่การพูดแค่ไม่กี่นาที แต่จริง ๆ แล้วสำคัญมาก การนำเสนอแบบมีประสิทธิภาพนี้ไม่ใช่แค่การทำสไลด์ แล้วพูดไปตามหน้าสไลด์ที่เราทำ แต่หมายถึงตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนเสนอหัวข้อ การทำสไลด์ให้น่าสนใจ การพูดที่จับใจคนฟัง และสื่อสารได้ครบถ้วน การทำงานเก่งเป็นส่วนหนึ่ง มันอาจจะทำให้เราสร้างสรรค์ผลงานที่ดีออกมาได้ แต่ทักษะการนำเสนอเป็นเหมือนการเพิ่มเสน่ห์ให้เราได้เปรียบกว่าคนอื่น จะเห็นได้ว่าผู้นำที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น Steve Jobs หรือ Bill Gates ต่างก็มีงานเปิดตัวสินค้าและวิธีการนำเสนอที่เป็น Talk of the town ทุกครั้ง
อาจจะมีบางคนที่รู้สึกว่าการลาหยุดพักร้อนจะทำให้หัวหน้ามองว่าเราขี้เกียจ ซึ่งมันคือความเชื่อที่ผิด เพราะความจริงแล้ว “วันลาพักร้อน” ชื่อก็บอกตรงตัวว่าเขามีไว้ให้เราหยุดเพื่อไปพักร้อน ผ่อนคลายความเครียด มันเป็นสวัสดิการที่บริษัทมีให้เราอย่างถูกต้อง ดังนั้นถ้าเราจะลาพักร้อนอย่าคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่อาจจะต้องมีการแจ้งให้ทางบริษัทรับรู้ก่อน วางแผนกการทำงานให้ดี ไม่กระทบต่องานในช่วงเวลาที่เราไม่อยู่ รวมทั้งใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ใครจะรู้ล่ะว่าบางทีการลาไปพักร้อนเพื่อผ่อนคลายสมอง อาจจะทำให้เราได้ Recharge ตัวเองใหม่ และกลับมามีไฟในการทำงานอีกครั้งก็ได้
การทำงานออฟฟิศก็เหมือนการเข้าสังคมนั่นแหละ เราจะเจอคนแทบทุกรูปแบบ ทั้งคนดี ๆ ที่คอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ จริงใจ และคนที่มีนิสัยบางอย่างที่เราไม่โอเค ซึ่งอาจจะเป็นแบบที่เคยเจอมาก่อน หรือที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตก็ได้ เช่น เพื่อนร่วมงานที่ชอบนินทาลับหลัง รุ่นน้องที่ชอบขอให้ช่วยโดยไม่พยายามจะเรียนรู้ด้วยตัวเองเลย รุ่นพี่ที่ชอบแบ่งพรรคแบ่งพวก หรือหน้าหน้างานที่ชอบจับผิด เมื่อเราเจอคนหลายรูปแบบ และเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เราก็ต้องปรับตัวให้อยู่ได้ในสังคมนี้ หาวิธีรับมือกับการมีปฏิสัมพันธ์กับคนแต่ละรูปแบบให้ได้ รวมถึงอย่าคาดหวังว่าถ้าเราดีกับทุกคน ทุกคนจะดีตอบ บางทีชีวิตก็ต้องรู้จักคำว่า “ช่างมัน”บ้าง
การไขว่คว้าหาความรู้และโอกาสในที่ทำงานนั้นสำคัญมาก ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเราเข้าไปทำงานวันแรก และเห็นทุกคนในออฟฟิศวุ่นวายกับงานของพวกเขา แต่เรากลับนั่งมองแล้วคิดแค่เพียงว่า “เรายังทำอะไรไม่เป็น นั่งรอให้พี่เขามาสอนละกัน” เมื่อถึงช่วงการประเมินงาน ก็คงยากที่เราจะผ่านโปร เพราะหัวหน้าที่ประเมินก็จะมองว่าเราไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ดังนั้นใครยังติดนิสัยนี้อยู่ก็ควรเปลี่ยนซะ ลองเข้าไปติดตามงาน เสนอตัวช่วยเหลือ สอบถามสิ่งที่เราอยากรู้และเราพยายามหาข้อมูลเองแล้วแต่ไม่ได้คำตอบ หรือขอความเห็นว่าเราต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีก อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นหยิบยื่นมาให้ตลอด รวมถึงหมั่นอัปเดตความรู้ใส่ตัวเสมอ เพราะว่าโลกตอนนี้มันหมุนเร็วมาก คนที่หมุนตามทันก็จะได้เปรียบ และที่สำคัญทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีเพื่อเตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เคยเกิดคำถามว่าทำไมเรายังอยู่ตำแหน่งเดิมทั้งที่ทำงานหนัก แต่หัวหน้ากลับไปเลื่อนขั้นให้คนที่ทำงานชิล ๆ เหมือนไม่ทำอะไรเลยไหม? หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเราเอาซะเลย แต่ก่อนที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม เราอาจจะต้องลองถามตัวเองและมองข้อเสียตัวเองดูก่อนจะเรียกร้องอะไรไป เช่น ที่เราต้องทำงานหนัก ทำงานล่วงเวลาบ่อย ๆ เพราะเราขาดประสิทธิภาพในการทำงานและจัดการเวลาเลยทำให้ต้องทำงานหนักกว่าเขารึเปล่า ทำไมเราทำให้งานเสร็จง่าย ๆ แบบเขาไม่ได้
ชีวิตจริงมันไม่ใช่แค่ว่าเราทำงานหนักแล้วจะได้เลื่อนขั้น การที่ใครสักคนจะเลื่อนขั้นได้มันประกอบไปด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ความสามารถที่โดดเด่น ความเป็นผู้นำ การแก้ปัญหา แต่ถ้าหากคุณเป็นคนทำงานหนักที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แล้วกลับโดนมองข้าม ก็อย่ารู้สึกท้อแท้หรือหมดกำลังใจไป เอาเวลาไปสร้างสรรค์งานให้ดีขึ้น หรือหาองค์กรใหม่ที่มองเห็นศักยภาพของเราจะดีกว่า
Toxic People เป็นหนึ่งปัญหาโลกแตกที่คนทำงานมักเจอ เป็นคนประเภทที่ทำให้เรารู้สึกแย่เวลาอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ชอบเอาเปรียบ ไม่สนใจใคร ทำให้บรรยากาศในการทำงานเสีย หรือทำสิ่งที่กระทบกับคนอื่นในด้านลบ และคนพวกนี้แหละที่ทำให้พนักงานดี ๆ หรือคนเก่ง ๆ จำนวนไม่น้อยต้องลาออกไป เพราะถ้าเจองานหนักเราก็แค่อดทน เรียนรู้ และพยายามทำให้สำเร็จ แต่ถ้าต้องมารับมือกับคนที่ทำให้เราเสียสุขภาพจิตวันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำก็คงไม่ไหว ถ้าเราพยายามคุยกับพวกเขาถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ลองปรับที่ตัวเราเอง และลองหลาย ๆ วิธีแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น การลาออกและอยู่ให้ไกลจากคนประเภทนี้ ก็อาจเป็นทางออกที่คนทำงานควรเลือกทำ ก่อนที่มันจะทำร้ายสุขภาพจิตของเรา จนส่งผลเสียอื่น ๆ ตามมา
บางครั้งเราต้องทำงานของคนอื่นด้วยคำขอสั้น ๆ ว่า “ช่วยพี่หน่อยนะ” ซึ่งมันไม่แปลกที่การทำงานกับคนหมู่มากมักจะมีการขอความช่วยเหลือกันบ้าง แต่ในบางครั้งคนบางคนก็ขอให้เราช่วยเหลือโดยไม่มีความเกรงใจกันซะเลย ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นสิทธิของเราว่าจะช่วยหรือปฎิเสธไป ถ้ามันไม่ได้หนักหนามากนัก และเขามีเหตุผลที่ขอให้เราช่วยจริง ๆ ก็ควรช่วยไป แล้วให้มองหาข้อดีว่าอย่างน้อยมันก็เป็นงานใหม่ที่ท้าทายเรา ให้ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ถ้าเราตกอยู่ในสถาการณ์แบบนี้ไปเรื่อย ๆ กับคนเดิม ๆ ก็ควรจะต้องรู้จักปฏิเสธให้เป็นด้วย ก่อนที่มันจะส่งผลกระทบกับงานที่เราต้องรับผิดชอบ
หลายคนคงจะเคยเจอกับการนั่งทำงานอยู่ดี ๆ หรืออีกสิบนาทีจะเลิกงานแท้ ๆ ก็มีข้อความเด้งขึ้นมาสั่งงานและลงท้ายด้วยว่า “ด่วนมาก” หรือที่เราชอบเรียกกันว่า “งานเข้า” นั้นแหละ ซึ่งเจ้างานพวกนี้เราเดาใจมันไม่ถูกเลยว่ามันจะเข้ามาเวลาไหน และเดตไลน์คือเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้าสั่งแก้งานตอนเย็น แต่อยากได้พรุ่งนี้เช้า หรือหัวหน้าให้คิดแคมเปญงานแบบด่วน ๆ เพราะจะต้องออกให้ตรงกับช่วงเวลาที่เหมาะสมซึ่งกำลังจะมาถึงในอีก 2 วัน
ดังนั้นเมื่อมีงานด่วน สิ่งที่เราควรจะทำคือการเลื่อนงานประจำที่เรากำลังทำอยู่แต่ไม่ได้ด่วนและยังพอมีเวลาออกไปแล้วดึงเอางานด่วนขึ้นมาทำก่อน เพราะหากเกิดปัญหาจะได้มีเวลาในการแก้ไขทัน แต่ถ้าเราประเมินและพบว่างานที่เรารับผิดชอบอยู่ตอนนี้มันเลื่อนออกไปไม่ได้จริง ๆ และงานด่วนที่เข้ามาเราอาจจะทำไม่ทันเดตไลน์ ก็ต้องลองเจรจาดูไม่ได้หมายถึงให้หาข้ออ้างไม่ทำ หรือต่อรองไปเรื่อย แต่ให้เราคุยรูปแบบเนื้องาน หรือแนวทางที่เป็นไปได้เพื่อไม่ให้เสียงาน เพราะบางทีถ้าได้ลองคุย เราอาจจะได้คนมาช่วยงาน ได้ข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม หรือมีการเลื่อนเดตไลน์ออกไปก็ได้
หวังว่าสิ่งที่เราบอกไปจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจหรือเป็นไอเดียให้ได้นำไปปรับใช้ในการทำงานได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้นั้นต้องอาศัยการปรับตัวเป็นอย่างมาก อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ในขณะเดียวกันก็อย่าให้คนอื่นมามีอิทธิพลกับเรามากเกินไป เชื่อว่าถ้าทำได้ เราจะสามารถจัดการปัญหา และทำงานกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ฝากประวัติเพื่อหางานที่ใช่ได้ ที่นี่
|
|
|
|
JobThai Official Group |
Public group · 200,000 members |
|
|
|
ที่มา:
pantip.com
campus.campus-star.com
facebook.com/groups/jobthaiofficial
skilldee.com