[X Career] เปิดสูตรลับ ก่อนข้ามสายไปเป็น Digital Marketer กับคุณแก่ เจ้าของเพจการตลาดคนดามกว่า 370K

24/01/21   |   7.1k   |  

 

 

 

อีกหนึ่งอาชีพสายการตลาดที่ได้รับความนิยมและรู้จักกันดีในปัจจุบันคงนี้ไม่พ้น Digital Marketing เพราะในยุคนี้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้หลายบริษัทมองหานักการตลาดดิจิทัลมากขึ้น หากคุณเป็นคนนึงที่กำลังสนใจสายงานนี้ JobThai จะพามารู้จักกับ คุณแก่  ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง ผู้ก่อตั้งบริษัท dots Consultancy, ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด เจ้าของเว็บไซต์และเพจ nuttaputch.com เพจความรู้ด้านการตลาดที่มีผู้ติดตามกว่า 370k คน ซึ่งได้มาพูดคุยใน Live X Career ข้ามสาย Talk Season 2

 

เส้นทางกว่าจะมาทำงานในสาย Digital Marketing

คุณแก่จบปริญญาตรีจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกศิลปการละคร และปริญญาโทการจัดการทางวัฒนธรรม บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ได้ทำงานในหลายสายงาน เช่น ทำงาน Key Account ที่ Major Bowl, ครีเอทีฟรายการทีวี, พิธีกรรายการ Digilife, เจ้าหน้าที่การตลาดในหน่วยงานเกี่ยวกับการลงทุนที่สถานทูตสิงคโปร์

 

ในช่วงที่ดิจิทัลเริ่มเข้ามา คุณแก่ได้เริ่มเข้ามาทำสายการตลาดจริงจังที่บริษัท อาร์ เอส จำกัด (มหาชน) และเข้าสู่วงการ Digital Agency ในตำแหน่ง Associate Director – Head of Social Media Content ที่ Edge Asia ก่อนจะไปดูแลการตลาดดิจิทัลในตำแหน่ง Vice President – Head of Online Marketing ที่ dtac ประมาณ 3-4 ปี นอกจากงานประจำแล้วคุณแก่ยังเป็นนักเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร a day และ เป็นคอลัมนิสต์ให้ Thairath Online อีกด้วย

 

ปัจจุบันคุณแก่ได้ออกมาเปิดบริษัท dots Consultancy บริษัททำ Training ด้านการตลาดดิจิทัลรวมทั้งเป็นที่ปรึกษาการตลาด และที่หลาย ๆ คนรู้จักในชื่อเจ้าของเพจ nuttaputch.com ที่มีคนติดตามกว่า 370,000 คนบน Facebook

 

การทำงานการตลาด ฝั่งแบรนด์จะมองภาพกว้างเน้นสร้างยอดขาย แต่ฝั่งเอเจนซี จะมองเจาะจงเปรียบเสมือนผู้เชี่ยวชาญ

จุดประสงค์ในการทำธุรกิจของเอเจนซีกับแบรนด์ต่างกัน การตลาดฝั่งแบรนด์จะมองภาพกว้าง ทำการตลาดเพื่อสร้างยอดขาย แต่การตลาดฝั่งเอเจนซีจะทำงานเฉพาะเจาะจงด้านใดด้านหนึ่ง เปรียบเสมือนผู้เชี่ยวชาญ เป็นมันสมองที่ช่วยให้แบรนด์คิดและจัดการงานได้ดีขึ้น

 

ทั้งสองงานมีความท้าทาย มีเสน่ห์ และความกดดันคนละแบบ เอเจนซีจะมีความแปลกใหม่ โจทย์ไม่ซ้ำ แต่กดดันสูง ส่วนฝั่งแบรนด์จะกดดันเรื่องยอดขาย ซึ่งรูปแบบขึ้นอยู่กับบริบทหลายอย่าง ทั้ง Mindset ของคนทำงาน วิธีการทำงาน และความสัมพันธ์ของเรากับลูกค้า รวมถึงแรงกดดันอื่น ๆ จากภายนอกอีกหลายปัจจัย

 

การสร้างแบรนด์คือการสร้างภาพจำ มีทั้งแบบฉาบฉวย และแบบละเมียดละไม

การสร้างแบรนด์คือการสร้างภาพจำให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นได้ทั้งจากการขยายภาพในตัวเราให้ชัดขึ้น หรือสร้างภาพขึ้นมาใหม่ให้เป็นที่จดจำ เพราะเนื้อแท้ของคำว่าการตลาด คือ การเอื้อให้กระบวนการทางธุรกิจขับเคลื่อนได้ ซึ่งต้องสร้างความทรงจำ สร้างคุณค่าบางอย่างให้กับลูกค้า

 

การสร้างแบรนด์มีทั้งแบบฉาบฉวย และแบบละเมียดละไม ในแง่ผลลัพธ์เกิดผลได้ทั้งสองแบบ แต่จะดีหรือเหมาะสมตามที่คิดไหมต้องตามมาตรฐานของแต่ละคน บางคนทำแบรนด์ระยะสั้น หวังผลเร็ว บางคนอยากสร้างแบรนด์ระยะยาว ทำให้ยั่งยืน ก็ต้องใช้เวลา และอย่าคิดว่าแบรนด์ที่ดีต้องดังชั่วข้ามคืนเท่านั้น ดังนั้นการทำแบรนด์ที่ดีต้องใช้เวลาในการเข้าใจลูกค้าให้มาก แล้วมาออกแบบเป็นกลยุทธ์ แต่นักการตลาดส่วนมากกลับใช้เวลาคุยกับลูกค้าน้อยมาก

 

Strategy 80: Action 20 ให้ความสำคัญของกลยุทธ์ มากกว่าการปฏิบัติ

Strategy 80: Action 20 เป็นบริบทหนึ่งที่เกิดขึ้นในคลาสเรียนของ dots Academy ที่ทุกคนมานั่งคุยกัน จนได้ประเด็นว่าเราต้องให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ (Strategy) มากกว่าการปฏิบัติ (Action) ซึ่งประโยคนี้หมายความว่าถ้าธุรกิจโฟกัสที่การปฏิบัติ โดยไม่ได้ปรับกลยุทธ์ ก็เหมือนเอานักฟุตบอลเก่งมาเตะแบบไม่มีแผน หรือเหมือนเราไปขอเรียนวาดรูปก่อนที่จะศึกษาสุนทรียะ ถ้าวางกลยุทธ์ไม่ดี ไม่ฉลาดใช้เครื่องมือ การแก้ปัญหาก็จะไม่ตรงจุดนั่นเอง

 

กลยุทธ์คือสิ่งที่ต้องคิดให้ขาดแล้วค่อยทำ คนไม่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เพราะมันจับต้องไม่ได้ แต่การปฏิบัติจับต้องได้เลยทำให้คนไปโฟกัสแต่จุดนั้น ดังนั้นก่อนจะทำอะไรต้องรู้ว่าทำไปทำไม อย่างไรก็ตามประโยคนี้ถ้าจะนำมาใช้จริงก็ต้องมีการปรับไปตามกระบวนการการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป ทุกวันนี้การตลาดถูกพยายามทำเป็นแพทเทิร์นเหมือน ๆ กัน ทำให้หลายครั้งกระบวนการคิดแก้ปัญหาหายไป เนื้อแท้จริง ๆ เราควรกลับมาโฟกัสตรงนี้

 

นอกจากนี้คุณแก่ก็ได้เล่าถึงกระบวนการการแก้ปัญหา (Problem Solving) ไว้คร่าว ๆ ว่ามันคือการระบุปัญหาให้ชัด เข้าใจปัญหา เข้าใจสถานการณ์การตลาด จากนั้นคิดค่อยหาไอเดีย จนเกิดเป็นแผน แล้วขั้นตอนสุดท้ายคือนำไปทำจริง

 

ไม่ว่าจะเรียนอะไรมาก็เป็นนักการตลาดได้ แค่ต้องมี Passion เป็นคน Active Learning และมีทักษะการใช้ Tools

การตลาดคือการเข้าใจคน วิธีคิด กระบวนการ เครื่องมือ ไม่ว่าคุณจะเรียนอะไรมาคุณก็สามารถทำอาชีพนี้ได้ คนที่คุณแก่ทำงานด้วยหลายคนก็ไม่ได้เรียนจบการตลาด เพราะงานดิจิทัลในยุคนี้เหมือนเริ่มจากศูนย์ คนที่ขวนขวายจะได้เปรียบก่อน มีโอกาสมากขึ้น มีเครื่องมือมากมายที่สามารถเรียนรู้เพื่อใช้เป็นเส้นทางไปสู่การเป็นนักการตลาด

สำหรับคุณแก่สิ่งที่คาดหวังจากคนที่มาสัมภาษณ์งานสายงานนี้ คือ

  • Passion ในตัวสินค้าและลูกค้า: ถ้าเรามี Passion เราจะพยายามเข้าใจ พยายามมองหาจุดอ่อน
  • มีทักษะการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning): ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ต้องพร้อมพัฒนา พร้อมเรียนรู้
  • ทักษะอื่น ๆ เกี่ยวกับการใช้ชุดเครื่องมือ(Tools set): ปัจจุบันมีเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาเยอะมาก คนที่มีพื้นฐานเป็นเรื่องที่ดี

 

อาชีพสายการตลาดในยุคดิจิทัลมีแตกย่อยไปได้เป็นสาย Content และสาย Media

คุณแก่จะใช้คำว่า “การตลาดในยุคดิจิทัล” มากกว่า “นักการตลาดดิจิทัล” เพราะดิจิทัลไม่ใช่เครื่องมือแต่เป็นบริบท เป็นเทคโนโลยีที่ไปสร้างพลังให้กับการตลาด ต้องรู้จักใช้เทคโนโลยีให้เป็น โดยงานการตลาดสามารถแตกย่อยไปได้อีกหลายอาชีพ

  • สาย Content  เช่น Content Strategist (คนวางโครงเนื้อหา วิจารณ์ ทำวิจัย), Content Production (ฝั่งออกแบบ ทำวิดีโอ กราฟิก) หรือ Columnist (ทำเนื้อหา)
  • สาย Media เช่น Media Influencer (คุยกับ Influencer), Media Performance (ดูแลผลประกอบการ), Media Buyer (คนจัดการซื้อสื่อ), Media Negotiator (ฝั่งเจรจาต่อรอง)

 

จะเห็นได้ว่าปัจจุบันกระบวนการตลาดซับซ้อนขึ้นและมีสายงานหลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคนี้นักการตลาดจะมีทั้งคนที่มีความชำนาญเฉพาะ และคนที่เก่งในภาพรวม ความถนัดเราจะเป็น I Shaped (ผู้ที่ชำนาญในงานของตัวเอง) หรือ T Shaped (ผู้ที่เก่งรอบด้านและชำนาญในงานของตัวเอง) ก็ได้ มีทางเลือกมากมายในสายการตลาด

 

AI จะเข้ามาช่วยให้นักการตลาดทำงานง่ายขึ้น และสิ่งที่จะทำให้นักการตลาดอยู่รอด คือการไม่หยุดเรียนรู้ 

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จะเข้ามาทำในสิ่งที่เคยทำเป็นรูปแบบซ้ำ ๆ แต่ไม่สามารถทำแทนนักการตลาดได้ 100% ทั้งในการตัดสินใจ และความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ เพราะฉะนั้น AI ไม่ได้มาแทนอาชีพสายการตลาด แต่จะเข้ามาช่วยนักการตลาดให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น การประมวลผลที่ซับซ้อน ย่นระยะเวลาการทำงานและปัจจัยต่าง ๆ

 

สิ่งที่นักการตลาดควรทำเพื่อที่จะอยู่รอดคือการพัฒนาตนเอง ไม่หยุดเรียนรู้ ลองถามตัวเองว่าใน 1 ปีที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้อะไรด้วยตัวเองบ้าง ทุกคนชอบอ้างว่าไม่มีเวลา คนเราพยายามหาทางลัดในการทำงาน ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน คุณแก่แนะนำว่าอยากรู้อะไรให้ศึกษาให้ละเอียด อย่าทำแค่ฉาบฉวย

 

4 ข้อการวางกลยุทธ์เพื่อทำ Content

สำหรับการวางกลยุทธ์เพื่อทำ Content คุณแก่แนะนำว่า ต้องตอบ 4 ข้อนี้ให้ได้ โดยเรียงทีละข้อ อย่าข้าม

1. Why? แก้ปัญหาอะไร

2. Who? เกิดขึ้นกับใคร

3. What? จะรู้ว่าเล่าอะไร

4. How? เล่าอย่างไร

 

หากตอบ 4 ข้อนี้ได้ทุกอย่างก็จะชัดเจนและตรงจุด โดยคุณแก่ย้ำกว่า อย่าไปโฟกัสที่ตัวเลข หรือคิดว่า Content ต้องเป็นไวรัล เพราะ Content ที่ดีไม่ใช่ Content ที่ดังเสมอไป

 

การทำ Portfolio สมัครงาน และแหล่งเรียนรู้ที่แนะนำ

ก่อนทำ Portfolio เพื่อสมัครงาน ต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากทำตำแหน่งอะไรในสายการตลาด แล้วตำแหน่งนั้นเขามองหาอะไร ต้องทำการบ้านว่าที่ที่เราสมัครเป็นอย่างไร แล้วทำ Portfolio ให้ตอบโจทย์งานนั้น จำลองงานที่เราคิดว่าจะทำขึ้นมา แสดง Passion ว่าเราทำการบ้านมาจริง ๆ

 

นักการตลาดที่เก่ง คือ คนที่สนใจคน อ่านหนังสือเยอะ ๆ โดยเฉพาะหนังสือต่างประเทศ พอยิ่งอ่าน ก็จะยิ่งรู้ว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ หรือการเรียนรู้เครื่องมือต่าง ๆ ปัจจุบันมีแหล่งเรียนรู้มากมาย เช่น Google Academy, Facebook Blueprint

 

นี่คือบางส่วนจากไลฟ์เท่านั้น สำหรับใครที่พลาดไป สามารถเข้าไปชมย้อนหลังได้ ที่นี่

 

หางานสาย Digital Marketing ทั้งหมดได้ ที่นี่

 

 
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน
Public group · 42,947 members
Join Group
 

tags : jobthai, jobs, หางาน, งาน, สมัครงาน, คนทำงาน, ข้ามสายงาน, digital maketer, x career ข้ามสาย talk



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม