เด็กจบใหม่และ First Jobber หรือคนที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานอาจรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘เรซูเม่’ กันดีอยู่แล้วว่าเป็นเครื่องมือนำเสนอตัวเองในการสมัครงาน แต่ทำไมเวลาสมัครงานกับบางองค์กร เขากลับไม่ได้พูดถึงเรซูเม่ แต่ขอ ‘CV’ จากเราแทนล่ะ? เจ้า CV ที่ว่านี้เหมือนหรือต่างกับเรซูเม่ยังไง แล้วในการสมัครงานทั่วไป เราต้องใช้อะไรกันแน่ วันนี้ JobThai จะมาสรุปความแตกต่างระหว่างเรซูเม่และ CV ให้ได้รู้กัน
เรซูเม่ หรือ Résumé เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ‘สรุปข้อมูลสำคัญ’ ซึ่งลักษณะของเรซูเม่ก็ตรงตามชื่อเลย นั่นคือเอกสารที่บอกเล่าข้อมูลสำคัญของผู้สมัคร ได้แก่ ข้อมูลส่วนตัว ช่องทางการติดต่อ ประวัติการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา ทักษะและความสามารถ โดยข้อมูลที่อยู่ในเรซูเม่จะคัดมาเฉพาะรายละเอียดที่เกี่ยวข้องและจำเป็นกับตำแหน่งงานที่สมัคร ดังนั้นเรซูเม่จึงมีความยาวไม่มากนัก ประมาณ 1-2 หน้ากระดาษ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงานของเราว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงาน เรซูเม่ก็มักยาวแค่หน้าเดียว เนื้อหาส่วนใหญ่หนักไปทางกิจกรรมและผลงานการประกวดต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในช่วงมหาวิทยาลัย แต่ถ้าเป็นผู้สมัครที่ทำงานมานานหลายปี เรซูเม่ก็อาจยาวถึง 2 หน้ากระดาษ
CV ย่อมาจากคำว่า ‘Curriculum Vitae’ ในภาษาละตินแปลว่า ‘เส้นทางชีวิต’ ดังนั้น CV จึงเป็นเอกสารที่บอกเล่าประวัติชีวิตในด้านการศึกษา การทำงาน และประสบการณ์ทางสายอาชีพแบบลงลึก รวมถึงนำเสนอทักษะและคุณสมบัติต่าง ๆ ของผู้สมัคร แม้ภาพรวมเนื้อหาจะคล้ายกับเรซูเม่ แต่ CV จะให้ข้อมูลที่ละเอียดและครบถ้วนกว่า มีการใส่ผลงานวิจัยทางวิชาการ งานภาคสนาม งานอาสา รางวัลหรือทุนการศึกษาที่ได้รับ กิจกรรมที่เคยมีส่วนร่วม ไปจนถึงใบรับรองและความสำเร็จที่ผ่านมาทั้งหมด
โดยทั่วไปแล้ว CV มักเรียงเนื้อหาตามลำดับเวลาจากใหม่ไปเก่า ทั้งในส่วนของประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน โดยนำข้อมูลล่าสุดขึ้นมาไว้อันดับแรกเสมอ จากนั้นจึงไล่ข้อมูลย้อนไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ตรงกับความหมายของ CV ว่าเป็นเอกสารที่ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพการเดินทางตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันของคนคนหนึ่ง และเนื่องจากเป็นเอกสารที่บรรจุข้อมูลเชิงลึกและรายละเอียดยิบย่อยต่าง ๆ ทั้งหมดเอาไว้ CV จึงไม่มีกำหนดความยาว โดยอาจยาวตั้งแต่ 2-10 หน้ากระดาษ หรือมากกว่านั้นก็ได้
วัตถุประสงค์
-
Resume: ใช้สำหรับการสมัครงานในองค์กรทั่วไป
-
CV: ใช้สำหรับการสมัครตำแหน่งทางวิชาการ เช่น นักวิจัย ครูผู้สอนระดับสูงในมหาวิทยาลัย ไปจนถึงอาชีพที่มีความเฉาะเจาะจง เช่น อาชีพในสายงานกฎหมาย วิทยาศาสตร์ การแพทย์
เนื้อหา
-
Resume: บอกเล่าข้อมูลโดยย่อและจุดเด่นของผู้สมัคร เน้นการนำเสนอรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่งงานที่เราสมัคร ข้อมูลไหนที่ไม่จำเป็นก็สามารถตัดออกได้
-
CV: บอกเล่าข้อมูลเชิงลึกของผู้สมัคร มีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ ผลงาน และความสำเร็จที่ผ่านมาทั้งหมด ทำให้ไม่ค่อยมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาตามตำแหน่งงานที่สมัครมากนัก
ความยาว
หน้าตาและดีไซน์
-
Resume: สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เหมาะสมตามสายงานได้ เช่น สายงานครีเอทีฟหรือสายงานออกแบบก็อาจทำเรซูเม่ที่มีลูกเล่นหรือสีสันที่แสดงออกถึงความครีเอทีฟและความเป็นตัวเอง
-
CV: ไม่ค่อยมีลูกเล่นหรือการตกแต่ง เน้นจัดวางอย่างเรียบง่ายให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้อย่างสบายตา
มาถึงคำถามชวนข้องใจ ถ้าจะสมัครงาน เราต้องใช้เรซูเม่หรือ CV กันแน่? แม้วัตถุประสงค์และรูปแบบของเอกสารทั้ง 2 อย่างจะต่างกันชัดเจนตามที่อธิบายไปด้านบน แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเรซูเม่กับ CV ยังมีการใช้งานที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ด้วย อย่างในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เรซูเม่จะใช้ในการสมัครงานทั่วไป ส่วน CV จะใช้สำหรับการสมัครตำแหน่งทางวิชาการ แต่ถ้าเป็นที่อังกฤษหรือกลุ่มประเทศในยุโรป คำว่าเรซูเม่จะไม่นิยมใช้กันเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นเอกสารนำเสนอตัวตนที่ใช้เวลาสมัครงานจะเรียกว่า CV ทั้งหมด ส่วน CV ที่ใช้ในการสมัครตำแหน่งทางวิชาการจริง ๆ จะระบุชัดเจนไปเลยว่าเป็น ‘Academic CV’ หรือ CV สายวิชาการเพื่อแยกประเภทไม่ให้เกิดความสับสน
ส่วนประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยเอง คำว่าเรซูเม่และ CV ต่างถูกใช้สลับกันไปมาจนสามารถใช้เรียกแทนกันได้ทั้งคู่ ดังนั้นก็ไม่ต้องตกใจไปถ้าเกิดบริษัทที่เราสนใจขอ CV ของเราแทนที่จะขอเรซูเม่ เป็นที่เข้าใจกันเองระหว่างองค์กรกับแคนดิเดตว่าเวลาขอเรซูเม่หรือ CV ก็คือการขอเอกสารที่ประกอบไปด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัคร ประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา รวมถึงทักษะและความสามารถที่มี ส่วนผลงาน ใบรับรอง และความสำเร็จต่าง ๆ ก็พิจารณาดูจากตำแหน่งงานที่เราสนใจ ถ้าเป็นตำแหน่งในสายงานที่เฉพาะเจาะจงอย่างสายงานกฎหมาย วิทยาศาสตร์ หรือการศึกษา เราก็ควรใส่รายละเอียดในส่วนนี้เพิ่ม ทำเป็น CV รูปแบบเต็ม
แต่ถ้าตำแหน่งงานนั้นเป็นตำแหน่งทั่ว ๆ ไป เราก็ใส่แค่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับโปรไฟล์ของเราก็พอ เช่น ถ้าสมัครงานสายไอที ก็อาจใส่ข้อมูลไปด้วยว่าเราผ่านการเรียนคอร์สสอนใช้งานโปรแกรมหรือเครื่องมือต่าง ๆ จนได้ใบรับรองจากสถาบันมา หรือถ้าเป็นตำแหน่งระดับสูงในองค์กรและ Specialist ที่เนื้องานจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญและอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาสูง เราก็อาจเพิ่มข้อมูลในส่วนที่เป็นรางวัลหรือความสำเร็จที่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วย เพื่อโชว์ให้เห็นว่าเรามีผลงานรองรับว่าเราเชี่ยวชาญในเรื่องนี้จริง ๆ
แม้การสมัครงานทั่วไปในประเทศไทยจะใช้แค่เรซูเม่ก็เพียงพอ แต่ JobThai ก็อยากแนะนำให้ทุกคนทำ CV ที่รวบรวมข้อมูลและประสบการณ์ทางสายอาชีพทั้งหมดของเราเก็บเอาไว้ด้วยเหมือนกัน แม้โอกาสใช้อาจไม่เยอะ แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์ เพราะยังไงเนื้อหาใน CV ก็ไม่ค่อยมีการปรับเปลี่ยนอะไรมากอยู่แล้ว ถือว่าทำครั้งเดียวแล้วสามารถใช้ได้ระยะยาว นอกจากนี้ถ้าเรามีเอกสารที่รวบรวมข้อมูลทุกอย่างเอาไว้พร้อม ในอนาคตเวลาที่เราต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขข้อมูลในเรซูเม่ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่เราสนใจก็เป็นเรื่องง่าย เพราะสามารถเปิดดูข้อมูลใน CV ที่ทำเอาไว้แล้วคัดเอาเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานมาใส่ในเรซูเม่ใหม่ได้เลย
ไม่มี Resume หรือ CV ก็หางานได้
แค่สมัครสมาชิกกับ JobThai แล้วฝากประวัติไว้ก็มีโอกาสได้งานแล้ว คลิกเลย
|
|
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน
ที่มา:
indeed.com, indeed.com, indeed.com, blog.hubspot.com, myperfectresume.com, resumegenius.com, grammarly.com, cvowl.com, standout-cv.com, topcv.com, linkedin.com, jobseeker.com, thebalancemoney.com, shorelight.com