22/01/21 | 3.9k |

ภาพรวมการเปิดรับพนักงานของ dtac ในปี 2020 ที่ผ่านมา
การสรรหาและว่าจ้างพนักงานที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้นในยุค New Normal
การรับคนรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้ต้องการ Full-time และสัญญาจ้างที่ Customize ได้
Digital Skill ทักษะที่ dtac กำลังมองหาสำหรับการปรับแผนทางธุรกิจในปัจจุบัน
Plug & Play ลักษณะการทำงานตามสถานการณ์
ออฟฟิศไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะบ้านหลักของพนักงานก็เป็นออฟฟิศได้
พนักงานส่วนมากชอบการ Work from Home และยินดีให้ความร่วมมือ
Performance ของพนักงานระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและการทำงานที่บ้าน
dtac ไม่มีการลดสวัสดิการลง และยังปรับเพิ่มให้พนักงานอีกด้วย
2 สิ่งที่คนทุกวัยควรมีสำหรับความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

ช่วงปลายปีที่ผ่านมา คนทำงานหลายคนเพิ่งเริ่มทยอยกลับไปทำงานที่ออฟฟิศกัน แต่พอมาถึงปี 2021 ก็เริ่มต้นปีด้วยการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ ซึ่งส่งผลให้พนักงานออฟฟิศต้อง Work from Home กันต่อ เพราะหลายบริษัทมีการยืดนโยบาย Work from Home ออกไป หรือบางบริษัทก็บอกเลยว่า “เราอาจจะต้อง Work from Home กันไปตลอดกาล”

ในเมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป แล้วออฟฟิศของเราทุกวันนี้ยังจะจำเป็นอยู่ไหม JobThai จะขอพาทุกคนมาคุยกับพี่กุ้ง CPO (Chief People Officer) ขององค์กรที่ถูกจัดว่ามีออฟฟิศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอย่าง “dtac” กัน

ภาพรวมการเปิดรับพนักงานของ Dtac ในปี 2020 ที่ผ่านมา

dtac เป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจ Telecom และ Mobile Operator ซึ่งได้รับผลกระทบจาก COVID-19 บ้างเหมือนกัน แต่เนื่องจากธุรกิจที่ยังต้องให้การบริการลูกค้าและลูกค้าก็จำเป็นต้องใช้การบริการ ซึ่งบางช่วงเวลายังใช้มากขึ้นอีกด้วย เพราะคนทำงานหลายคนเริ่มทำงานที่บ้านรวมถึงนักเรียนที่เรียนออนไลน์ ทำให้การรับคนของ dtac ก็ยังคงมองหาอยู่ เพราะก็ยังต้องการคนทำงานที่มีทักษะและมีศักยภาพมาเสริมในบริษัท แต่อาจมีบางตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบและจ้างลดลงประมาณ 20% เท่านั้น

การรับคนสำหรับปี 2021 dtac คิดว่าจะรับเหมือนเดิมเพราะยังเป็นเรื่องที่สำคัญและมีตำแหน่งที่ยังต้องการอยู่ ซึ่ง dtac ก็ยินดีที่จะรับเพื่อนร่วมงานที่มีความรู้ ความสามารถ และมีศักยภาพ ที่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมขององค์กรได้เข้ามาร่วมงาน

การสรรหาและว่าจ้างพนักงานที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้นในยุค New Normal

ถึง COVID-19 จะมีผลกระทบต่อการทำงานก็จริง แต่ว่าในการสรรหาพนักงานมันก็ทำให้เกิดกระบวนการใหม่ในการสรรหาเช่นกัน อย่างเช่นเมื่อก่อนเวลาที่มีผู้สมัครที่สำคัญก็จะคิดว่าต้องเจอหน้าเท่านั้นและต้องนัดผู้สมัครมาหลาย ๆ ครั้ง แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือกและไม่สามารถเจอหน้ากันได้ dtac เลยปรับว่าจะทำ Video Conference ในการสัมภาษณ์แต่ทำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดดีกว่า ซึ่งผลลัพธ์ก็สามารถ Connect กับผู้สมัครได้ดีกว่าเดิม เพราะว่าทุกคนจะรู้สึกสะดวกใจกว่าเดิมว่านี่คือวิธีการสัมภาษณ์แบบใหม่

การสรรหาในบางส่วนก็สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ส่วนความท้าทายในการสรรหาบุคลากรที่ใช่และมีทักษะที่เข้ากับองค์กรได้ อันนี้ก็เป็นความท้าทายตั้งแต่ก่อน COVID-19 ระบาดอยู่แล้ว

การรับคนรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้ต้องการ Full-time และสัญญาจ้างที่ Customize ได้

รูปแบบของการจ้างงานใน dtac ขึ้นอยู่กับลักษณะงานนั้น ๆ dtac เปิดกว้างเรื่องสัญญาจ้าง ต่อให้ไม่มีCOVID-19 ความยืดหยุ่นในเรื่องสัญญาจ้างก็เริ่มมีมากขึ้นเพราะมันเป็น Trend และบางคนก็ไม่ได้อยากใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญของตนเองกับบริษัทเพียงบริษัทเดียว เพราะเขาสามารถทำงานร่วมกับบริษัท A และ บริษัท B โดยยังรักษาความลับของแต่ละบริษัทเอาไว้ได้ และเขาก็อาจไม่ได้อยากเป็นพนักงานประจำ เพราะฉะนั้นบริษัทก็ต้องปรับตัวด้วยการมีสัญญาจ้างที่ยืดหยุ่นตาม เมื่อก่อนอาจไม่ได้ชอบสัญญาจ้างแบบชั่วคราวแต่ปัจจุบันมันกลายเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

แต่สิ่งที่บริษัทจะต้องดูก็คือเราจะทำสัญญาจ้างยังไงให้มีความเป็นธรรม และบริหารจัดการง่าย เพราะว่ามันก็จะไม่ใช่อะไรธรรมดาอีกต่อไป ก็จะเริ่มมีสัญญาจ้างที่ Customize ได้มากขึ้น ต้องทำให้แน่ใจว่ามันถูกต้องตามกฎหมายและสามารถดูแลพนักงานในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างดี

Digital Skill ทักษะที่ Dtac กำลังมองหาสำหรับการปรับแผนทางธุรกิจในปัจจุบัน

ในแง่ของโมเดลทางธุรกิจ ที่ dtac ก็กำลังพยายามมองหา Assistance Business อยู่ อาจเป็น Partnerกับธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งสำหรับทักษะที่ต้องการ พี่กุ้งมองว่าถ้าเป็นทักษะ Technical และ Digital ก็จะเป็น Data Analyst, Business intelligence คนที่ทำ UX/UI ได้ หรือ Solution Sale เป็นต้น แต่ทั่วไป dtac ก็ยังต้องการเพื่อนร่วมงานระดับ Leadership Management ซึ่งอยู่ในสายต่าง ๆ อาจไม่ระบุว่าจะเป็นสายไหน แต่ส่วนมากน้ำหนักก็จะไปในทักษะประเภททาง Digital Skill มากกว่า

Plug & Play ลักษณะการทำงานตามสถานการณ์

ลักษณะการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ของทาง dtac อาจไม่ได้แตกต่างจากบริษัทอื่น ๆ มาก แต่ในเรื่องของรายละเอียดก็พยายามหารูปแบบที่ยืดหยุ่นมากกว่า มีตัวเลือกในการทำงานที่บ้านในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างปัจจุบัน dtac ไม่ได้กลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 100% ซึ่งรูปแบบมันก็จะเปลี่ยนไปตามเวลา ตอนนี้ก็มีรูปแบบที่พนักงานสามารถทำงานแบบ Plug & Play ได้ตามสถานการณ์ ตอน Full Lockdown ทุกคนกลับไปทำงานที่บ้านแบบ 100% แต่พอการแพร่ระบาดของไวรัสลดลงก็กลับมาทำงานที่ออฟฟิศแบบสลับทีม A ทีม B กัน ซึ่งพนักงานทุกคนเข้าใจการทำงานรูปแบบใหม่ที่มันมีความยืดหยุ่น ให้ความร่วมมือ และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

ทำให้ธุรกิจมีความท้าทายที่จะต้องเลือกวิธีการทำงานที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับสถานการณ์นั้น ๆ เพราะเราคงไม่อยาก Work from Home หรือเสี่ยงมาทำงานที่ออฟฟิศมากเกินไปโดยที่มันไม่จำเป็น ต้องหาอะไรที่มันกลมกล่อมในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งที่ dtac ก็มีรูปแบบการทำงาน ที่ยืดหยุ่นมาก ๆ

ออฟฟิศไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะบ้านหลักของพนักงานก็เป็นออฟฟิศได้

ออฟฟิศจำเป็นน้อยลงกว่าแต่ก่อน เพราะเราไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่ออฟฟิศมากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ในอดีตออฟฟิศของ dtac เป็นออฟฟิศที่ถูกจัดให้เป็นสถานที่ทำงานที่น่าอยู่มากที่สุดในโลก เพราะคอนเซปต์เมื่อก่อนที่คนทำงานต้องใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศมากกว่าที่บ้าน เลยอยากทำ dtac House ให้เป็นบ้านที่สะดวกสบายและมีทุกอย่างอย่างครบครัน เพื่อจุดประสงค์ในการทำงาน และ Lifestyle ต่าง ๆ แต่ในอนาคตคอนเซปต์ของออฟฟิศจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเราคงไม่อยากมีที่ทำงานที่เอาคนเยอะ ๆ มาอยู่ด้วยกัน และลักษณะของกิจกรรมที่มาทำรวมกันในที่ที่เดียวก็อาจไม่ใช่ไอเดียที่ดี

หลังจากรีโนเวทออฟฟิศ dtac ก็เลยคิดใหม่ทำใหม่ แทนที่จะทำให้ออฟฟิศกลายเป็นบ้านหลังที่สองแบบเมื่อก่อน ก็กลายเป็นว่าบ้านที่เป็นบ้านหลักของพนักงานจะกลายเป็นบ้านจริง ๆ ที่สามารถทำงานได้ ซึ่งออฟฟิศจะกลายเป็นตัวเลือกที่มีความยืดหยุ่น ส่งผลให้ออฟฟิศใหม่ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามเมื่อบางอย่างหายไปบางอย่างก็ต้องดีขึ้น อย่างตอนนี้ dtac ก็ซัพพอร์ตคนทำงานด้วยเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อ ให้ทุกคนสามารถทำงานด้วยกันได้ดีขึ้น

ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) หรือ เครื่องมือการทำงานแบบดิจิทัล (Digital Collaboration Tools) ที่อยู่ในออฟฟิศก็จะต้องก้าวหน้ามากขึ้น อย่างเช่นห้องประชุมที่เก็บเสียงและไม่มีเสียงก้อง ลักษณะของหน้าจอมอนิเตอร์ และไมโครโฟนที่มี Noise Cancellation ซึ่งแม้ว่าออฟฟิศ dtacจะถูกรีโนเวทให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมแต่ค่าใช้จ่ายหรือความเปลี่ยนแปลงตรงนั้น ก็จะกลายมาเป็นการลงทุนทางเรื่องของเทคโนโลยี ให้พนักงานสามารถทำงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม

พนักงานส่วนมากชอบการ Work from home และยินดีให้ความร่วมมือ

พนักงานชอบการทำงานแบบ Work from Home มาก ๆ ยินดีให้ความร่วมมือและปรับตัวให้เข้ากับวิถีแบบใหม่ แต่หากพนักงานต้อง Work from Home นาน ๆ เขาอาจรู้สึกอึดอัดและอยากกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ ซึ่งความท้าทายของ dtac คือ หากต้อง Work from Home ไปนาน ๆ จะดูแลพนักงานอย่างไร เพราะการนั่งทำงานที่บ้านนาน ๆ ก็อาจไม่ดีเหมือนกัน เลยมีการสนับสนุนให้พนักงานทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านทางออนไลน์เพื่อรักษาร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อต้องกลับมาออฟฟิศ dtac ก็จะมีกิจกรรมในออฟฟิศให้การมาออฟฟิศมีความหมาย

Performance ของพนักงานระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและการทำงานที่บ้าน

หากจะทำให้การ Work from Home มีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่ง dtac ก็มีความพร้อมในการกำกับดูแลวิธีการทำงานแบบ New Normal ในหลาย ๆ เรื่อง อย่างการจะทำให้มั่นใจว่าแม้ทำงานที่บ้านพนักงานก็ยังสามารถส่งมอบผลงานและรักษา Productivity ได้ dtac ก็จะมีคอนเซปต์ในการดูแลสำหรับหัวหน้างานและพนักงาน ที่ชื่อว่า “Tight-Loose-Tight” ซึ่งมาจาก

Tight: ต้องคุยกันให้เข้าใจ เพื่อรักษาเป้าหมายให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
Loose: อิสระในการที่จะทำอะไรก็ได้ เพื่อจะส่งมอบผลงานตามที่ตกลงกันไว้
Tight: คุยกันว่าส่งอะไรไปแล้วและสิ่งนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่

คอนเซปต์ง่าย ๆ แบบนี้จะช่วยกำกับให้ Line Manager ใช้เวลาในการสั่งงานให้ชัดเจน เพื่อทำให้ทุกคนไม่สับสนว่าตัวเองต้องทำอะไร ซึ่งก็จะทำให้ Productivity ของทุกคนไม่ตก ซึ่งการทำงานที่บ้านในช่วงแรกอาจเป็นการฝืนความรู้สึกของ Line Manager เพราะเขาอาจติดการทำงานแบบเดิมที่เชื่อว่า ต้องเห็นทีมงานมาออฟฟิศทุกวันถึงแปลว่าทีมงานได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจริง ๆ แล้วคนที่ทำงานเก่ง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ที่ไหนเขาก็สามารถทำงานได้ แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ที่ไหนเขาก็มีปัญหา ความเชื่อที่ว่า “พนักงานต้องอยู่ข้าง ๆ แล้วถึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” จึงใช้ไม่ได้จริง เพราะจากประสบการณในปีที่ผ่านมา แม้ dtac จะทำงานแบบ Work from Home หลายเดือน แต่ก็ยังสามารถเดินหน้าโปรเจกต์ได้อย่างดี และยังสามารถคิดสินค้าและบริการให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

dtac ไม่มีการปรับสวัสดิการลง และยังปรับเพิ่มให้พนักงานอีกด้วย

dtac ไม่ได้เปลี่ยนอะไรที่เป็นสวัสดิการหลัก อย่างเงินเดือนก็ให้ตามปกติไม่ได้ตัดหรือลดเงินเดือนพนักงานเลย และยังมีการจ่ายโบนัสตามประสิทธิภาพที่บริษัทสามารถทำได้ ซึ่งอาจมีความท้าทายนิดหน่อยแต่ยังสามารถจ่ายโบนัสได้อย่างสมเหตุสมผล ยังรักษาสวัสดิการไว้อย่างเดิมไม่ได้ตัดเพื่อลดค่าใช้จ่าย ในบางส่วนก็ยังมีเพิ่มเติมมากขึ้นเพื่อรักษาและดูแลพนักงานในสถานการณ์ COVID-19

ถ้าพูดถึงการ Work from Home ก็มีการทำแคมเปญ “Healthy at Work” ให้มาจัดกิจกรรมการเล่นโยคะ ร้องเพลง เพื่อให้สบายใจและไม่รู้สึกอึดอัด ซึ่งในช่วงที่การแพร่ระบาดและคนกังวลมาก ๆ dtacก็ได้ซื้อประกัน COVID-19 เพิ่มเติมให้พนักงาน สำหรับคนที่ต้องทำงานที่บ้าน dtac ก็มีการไปเป็น Partner กับ Samsung และทำเป็น E-Voucher ให้พนักงานสามารถซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อทำงานที่บ้านได้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ dtac ได้ลองทำ แต่ถ้าต้อง Work from Home ไปอย่างยาวนาน ก็คงมีสวัสดิการที่เป็นระยะยาวมากกว่านี้ และก็จะค่อย ๆ เรียนรู้จากสิ่งนี้ไปด้วยกัน ซึ่งข้อดีก็คือเราได้,การยืดหยุ่นในเรื่องของสวัสดิการเหมือนกัน อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ตัดสินใจทำให้ หรืออะไรที่พนักงานไม่ชอบก็เปลี่ยนแปลงสวัสดิการใหม่

2 ทักษะที่คนทุกวัยควรมีสำหรับความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

สิ่งแรกที่ต้องมีในปัจจุบันคือ “Resilience Skill” ต้องมีความ “อึด ถึก ทน” มีจิตใจที่แข็งแกร่ง สามารถทนทานต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นและไม่ยอมแพ้ เพราะถ้าเรายอมแพ้หรือไม่มีกำลังใจในการต่อสู้กับสถานการณ์ที่ทุกอย่างไม่มีอะไรเหมือนเดิมก็อาจเป็นเรื่องยาก เราจึงจำเป็นต้องมีทักษะนี้ในโลกปัจจุบัน
อย่างที่สองคือ Positive Attitude หรือ มี Mindset ที่เป็นด้านบวกต่อการเปลี่ยนแปลงและโอกาส เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสม่ำเสมอและเกิดขึ้นตลอดเวลา หากเรารู้สึกไม่ดีกับมันตั้งแต่แรก ชีวิตก็อาจยากลำบาก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องถือว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเราก็ใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาปรับปรุงตัวเอง เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อที่จะไปเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ

Oh My Job! Podcast ออนไลน์ทุกวันอังคาร ติดตามได้ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้