พอเข้าหน้าฝน อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แถมยังมีความชื้นและน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เชื้อโรคหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดีและแพร่กระจายได้ง่าย ทำให้เราเสี่ยงต่อโรคที่มากับหน้าฝนมากขึ้น วันนี้ JobThai จะพาไปดูกันว่ามีกลุ่มโรคอะไรบ้างที่เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงหน้าฝนนี้ และจะสังเกตอาการเบื้องต้นได้อย่างไร เพื่อให้ทุกคนดูแลตัวเองและคนที่รักให้ห่างไกลจากโรคเหล่านี้ อีกทั้งยังสามารถ เตรียมตัวไปทำงานหน้าฝนได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
หน้าฝนแบบนี้ นอกจากจะทำให้เราเดินทางลำบาก เฉอะแฉะ ไม่สบายตัวแล้ว ยังเป็นช่วงที่โรคที่มากับหน้าฝนหลายชนิดระบาดได้ง่าย มาดูกันเลยว่ามีกลุ่มโรคอะไรที่เราควรใส่ใจและป้องกันตัวเองเป็นพิเศษบ้าง

โรคกลุ่มนี้มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่แพร่กระจายผ่านอากาศ หรืออาจเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น การไอ จาม โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศชื้นและเย็น ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จึงทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยโรคในกลุ่มนี้ที่สามารถพบได้บ่อย มีดังนี้
- โรคไข้หวัด
- โรคไข้หวัดใหญ่
- โรคคออักเสบ
- โรคปอดบวม
- โรคหลอดลมอักเสบ
ซึ่งวิธีการป้องกันของกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถทำได้โดยการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำหรือหลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ พยายามไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น หรือหากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกในช่วงหน้าฝน แนะนำให้สวมใส่หน้ากากอนามัยไว้เสมอ เพื่อลดโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกาย และนอกจากการป้องกันจากภายนอกแล้ว การดูแลสุขภาพจากภายในก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง

ในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำท่วมขัง เชื้อโรคต่าง ๆ มีโอกาสที่จะปนเปื้อนมากับน้ำดื่มและอาหารที่เราทานเข้าไป ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ มักเป็นสาเหตุสำคัญของกลุ่มโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่พบได้บ่อยและมีการระบาดมากในช่วงนี้ โดยอาหารอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย และทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา ดังนี้
- โรคอาหารเป็นพิษ
- โรคตับอักเสบ
- โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
- อหิวาตกโรค
โดยอาการของกลุ่มโรคประเภทนี้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน หากอาการหนักเข้า อาจถึงขั้นเป็นลมหมดสติได้ ซึ่งวิธีการป้องกันกลุ่มโรคประเภทนี้ จำเป็นที่จะต้องระวังเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ แนะนำให้ทานอาหารปรุงสุก สด ใหม่ ทุกครั้ง และควรล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารเสมอ
ยุงลาย ยุงก้นปล่อง หรือยุงรำคาญ ซึ่งมักจะเพาะพันธุ์ได้ดีในแหล่งน้ำขังช่วงหน้าฝน เป็นพาหะนำโรคที่มากับหน้าฝน เมื่อยุงตัวนั้นได้รับเชื้อเข้าไป เชื้อโรคจะมีการแบ่งตัวและพัฒนาอยู่ภายในตัวยุง และเมื่อยุงที่มีเชื้อไปกัดคนต่อ เชื้อโรคเหล่านี้ก็จะถูกปล่อยผ่านทางน้ำลายเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ถูกกัด ทำให้เกิดการติดเชื้อและแสดงอาการของโรคต่าง ๆ ตามมาได้ ได้แก่
- โรคไข้เลือดออก
- โรคมาลาเรีย
- โรคไข้สมองอักเสบ
- ไวรัสซิกา
- โรคชิคุนกุนยา
ซึ่งโรคที่กล่าวมา อาจพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และวิธีการป้องกันโรค คือการควบคุมและลดจำนวนยุง โดยการคว่ำภาชนะต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีน้ำขัง ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด นอกจากนี้ การป้องกันตนเองก็สำคัญไม่แพ้กัน สวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่ยุงชุกชุม หรือใช้ยากันยุง และหากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามตัวหรือมีผื่นขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

ในช่วงหน้าฝนที่มีความชื้นแฉะ และน้ำท่วมขัง การเดินลุยน้ำย่ำโคลน ทำให้ผิวหนังมีโอกาสสัมผัสเชื้อโรค หรือเกิดบาดแผลที่เชื้อโรคจะเข้าไปได้ง่าย ซึ่งกลุ่มโรคเหล่านี้ ประกอบไปด้วย
- โรคผิวหนังอักเสบ
- โรคเชื้อราผิวหนัง
- โรคฉี่หนู
- โรคตาแดง
วิธีการป้องกันโรคเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วมขังโดยไม่จำเป็น หรือหากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำจริง ๆ แนะนำให้สวมใส่รองเท้าที่ปกป้องผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสกับน้ำขังโดยตรง และควรรีบล้างทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังจากที่เดินลุยน้ำ นอกจากนี้ไม่ควรใช้มือที่สกปรกขยี้ตา ถ้าเผลอจริง ๆ ก็ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันทีและไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น หากเสื้อผ้าที่เราใส่เปียกชื้นก็ควรเปลี่ยนทันที ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่อับชื้นเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังและเชื้อราได้ง่าย
โรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) มักพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี แต่อาจเกิดกับผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือต้องสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กเล็ก เช่น พ่อแม่ ผู้ดูแล หรือครูอนุบาล อาการเริ่มต้นมักมีไข้ต่ำ เบื่ออาหาร อ่อนเพลียและเจ็บภายในช่องปาก ต่อมาจะมีตุ่มหรือแผลแดงที่ลิ้น เหงือกและกระพุ้งแก้ม รวมถึงมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าหรือรอบก้น
โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก อุจจาระหรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แม้ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองใน 7 - 10 วัน แต่ในบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือสมองอักเสบ จึงควรระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ทำงานใกล้ชิดเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาลหรือบ้านที่มีลูกเล็ก ควรหมั่นล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น และหากเริ่มมีอาการควรหยุดพักและรีบไปพบแพทย์ทันที

นอกจากโรคติดเชื้อต่าง ๆ แล้ว หน้าฝนยังมาพร้อมกับอันตรายอื่น ๆ ที่เราต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะภัยจากสัตว์มีพิษที่หนีน้ำเข้าบ้าน เช่น งู ตะขาบหรือแมลงมีพิษต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ บาดเจ็บหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้
เพื่อป้องกันอันตรายเหล่านี้ ควรหมั่นดูแลสภาพแวดล้อมรอบบ้านให้ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า การเดินในที่มืด หญ้ารกหรือเดินในที่ที่มีเศษซากกองอยู่ หากพบสัตว์มีพิษให้ระมัดระวังและขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทันที นอกจากนี้ควรเตรียมชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นและเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินไว้ใกล้มือ เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์ฉุกเฉิน เพราะการเตรียมตัวล่วงหน้า คือวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องทั้งสุขภาพและชีวิตในช่วงหน้าฝน
จะเห็นได้ว่า กลุ่มโรคที่มากับหน้าฝนนั้นมีหลากหลายและสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากเชื้อโรคที่แพร่กระจายได้ง่ายในอากาศชื้น จากน้ำและอาหารที่ไม่สะอาด จากยุงที่เป็นพาหะ รวมถึงภัยจากสัตว์มีพิษต่าง ๆ ดังนั้น การดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล การรักษาสภาพแวดล้อมให้สะอาดและใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราผ่านหน้าฝนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย และถ้าหากพบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง อย่าลืมใส่ใจดูแลตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากโรคเหล่านี้ด้วย