ทุกวันนี้คนทำงานต้องเจอกับสารพัดปัญหาที่เข้ามากระทบชีวิตการทำงานของเรา ตั้งแต่หางานยาก ไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์งาน หรือสัมภาษณ์งานไม่ผ่านสักที จนเมื่อได้งานแล้วก็ยังต้องลุ้นว่าที่ทำงานจะ Toxic ไหม สภาพแวดล้อมการทำงานจะเป็นยังไง หากทำงานไม่มีความสุข ก็ต้องหางานใหม่วนไป วันนี้ JobThai เลยอยากจะชวนคนทำงานมาพูดคุยในประเด็นที่ไม่ว่าจะทำงานสายไหนก็อาจจะเคยเจอประสบการณ์แบบนี้กันมาบ้าง ซึ่งก็คือ Crunch Culture วัฒนธรรมการทำงานสุดเร่งรีบ ไม่ว่าจะเก่งมาจากไหน เจอที่ทำงานที่มีวัฒนธรรมแบบนี้เข้าไปก็คงปวดหัวไปตาม ๆ กัน
คำว่า “Crunch” หมายความว่าสภาวะหรือสถานการณ์วิกฤติ ส่วนคำว่า Culture ในบริบทที่เราจะพูดถึงก็คือวัฒนธรรมในการทำงาน เมื่อรวมสองคำนี้เข้าด้วยกันก็จะหมายถึง วัฒนธรรมการทำงานที่เร่งรีบภายใต้สถานการณ์วิกฤติ บางครั้งก็มีการพูดถึงการทำงานในลักษณะนี้ว่า Crunch Time ที่แปลว่าช่วงเวลาเร่งรีบที่จะต้องทำงานให้เสร็จ เมื่อบริษัทไหนที่ต้องทำงานกันแบบรีบ ๆ บ่อย ๆ ก็กลายมาเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปโดยปริยาย
Crunch Culture เริ่มเป็นคำฮิตจนเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างจากอุตสาหกรรมการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาบริษัทเกมที่ต้องเข็นเกมออกวางขายให้ทันกำหนดที่เคยประกาศไว้ บรรทัดฐานที่หลายบริษัททำกัน ได้แก่ การให้ทำงานเพิ่มจาก 40 ชั่วโมงเป็น 50-80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (บางครั้ง 100 ชั่วโมงก็มี การมีชั่วโมงการทำงานมากขึ้นหมายความว่าพนักงานเจียดเวลาพักผ่อนมาทำงานมากขึ้นซึ่งอาจรวมถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วย) สาเหตุของ Crunch Culture นั้นก็มาจากหลายปัจจัย เช่น บริษัทมักมี Project ด่วนที่ต้องรีบทำให้เสร็จอยู่บ่อย ๆ การประเมินศักยภาพในการทำงานของพนักงานไว้สูงเกินไป รวมถึงมีการปรับเปลี่ยน แก้ไขเพิ่มเติมงานเดิมส่งผลให้งานกินเวลามากกว่าที่เคยวางแผนไว้ บริษัทจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะขอความร่วมมือหรือบังคับให้พนักงานปั่นงานให้ทันเส้นตายและเป็นไปตามมาตราฐานที่ลูกค้าคาดหวัง คนที่ตกที่นั่งลำบากจึงกลายเป็นคนในองค์กรมากกว่าที่จะยอมเลื่อนกำหนดส่งออกไปแล้วทำให้บริษัทเสียความเชื่อมั่นจากบุคคลภายนอก
แม้แรกเริ่มเดิมทีจะ Crunch Culture จะมีที่มาจากวงการซอฟต์แวร์ แต่ถ้ามองลึก ๆ แล้วจะเห็นว่าธุรกิจหลายประเภทก็มีงานที่ต้องทำงานด่วนอยู่บ่อย ๆ คนที่ทำงานในบางแผนกก็มีโอกาสเจอกับวัฒนธรรมการทำงานหนักแบบนี้ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับวิธีการบริหารจัดการของผู้บริหาร และแน่นอนว่าผลกระทบนั้นย่อมตกอยู่กับคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ พนักงานสัญญาจ้าง หรือคนทำงานฟรีแลนซ์ก็มีสิทธิ์ติดอยู่ในวังวนนี้ไม่ต่างกัน อยู่ที่ว่าบริษัทจะมีวิธีไหนในการจูงใจให้คนยอมทำงานหนัก เช่น บางที่อาจจะเพิ่มสวัสดิการโบนัสหรือวันหยุดหลังจบงานให้ หรือบางที่อาจจะไม่มีอะไรตอบแทนเลยก็เป็นได้
การทำงานกับบริษัทที่มี Crunch Time ยังพอทนเพราะอาจมี Project ด่วนเข้ามาบ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ถ้าบริษัทนั้นมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ Crunch Culture แล้วละก็ คุณจะต้องเตรียมรับมือกับอะไรที่มากกว่าการปวดหัวแน่นอน โดยปกติแล้วการทำงานแบบที่ต้องอดหลับอดนอนทำงานข้ามวันข้ามคืนเพื่อให้งานเสร็จทันเส้นตายทำให้เราเสียสุขภาพก็จริง แต่เมื่อได้พักหลังจากจบงานร่างกายก็จะฟื้นฟูกลับมาได้ภายในเวลาไม่นาน แต่การทำงานแบบนี้ในระยะยาวย่อมส่งผลกระทบต่อคนทำงานทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการโฟกัสกับการทำงานมากเกินไปจนทำให้ไม่มีเวลาใส่ใจกับอาหารการกิน ต้องรีบกินรีบทำงานต่อ หรืออาจนำไปสู่นิสัยการกินที่ไม่ตรงเวลา จนโรคกระเพาะถามหา ส่วนการอดนอนบ่อย ๆ จะทำให้เราอ่อนเพลีย ในขณะเดียวกันจิตใจที่จดจ่อแต่เรื่องงานและการเปลี่ยนเวลานอนก็อาจทำให้เป็นโรคนอนไม่หลับ (Insomnia) ได้เช่นกัน รวมถึงผลกระทบทางสุขภาพจิตจากความเครียดที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงเรื้อรังอื่น ๆ ตามมา นี่ยังไม่นับเรื่องการเสียสละเวลาส่วนตัว บางคนถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวเพราะมัวทุ่มเทให้กับงานเพียงอย่างเดียว ถ้าเราต้องทำอะไรแบบนี้ซ้ำกันทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือเป็นปี ๆ ร่างกายและจิตใจของเราจะเป็นยังไง ทุกคนคงพอนึกออก
อย่างไรก็ตามแม้ข้อเสียของ Crunch Culture จะมีนับไม่ถ้วน แต่หลายคนก็ยังยอมทนทำงานภายใต้วัฒนธรรมองค์กรแบบนี้ สาเหตุของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป เช่น บางคนตอนสมัครเข้ามาทำงานตอนแรกไม่รู้ว่างานหนักขนาดนี้ จะเปลี่ยนงานก็อาจจะติดภาระทางการเงิน ต้องการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือปัจจัยอื่น ๆ ในที่ทำงานก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด Crunch Culture จึงอาจเป็นเพียงข้อเสียเดียวของบริษัทและยังไม่ใช่ Red Flag สำหรับพวกเขา ในทางตรงกันข้ามหลายคนที่สมัครใจทำงานด่วนเพราะมองว่าCrunch Culture เป็นหนทางไปสู่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะในบริษัทที่มีค่านิยมว่าการทำงานหนักคือวิธีที่ทำให้ก้าวหน้าได้ไว เพราะแสดงถึงความขยันและทำในสิ่งที่ท้าทายได้สำเร็จอยู่เสมอ ๆ การทำงานที่ดูเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นความจริงอาจทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับจากผู้บริหารและได้รับความไว้วางใจใน Project ที่ใหญ่กว่าเดิม รวมถึงการได้เลื่อนตำแหน่งในอนาคต
อุตสาหกรรมเกม:
จะเข้าใจวัฒนธรรมการทำงานหนักของสาย Tech ได้ เราอาจจะต้องรู้จักธรรมชาติของอุตสาหกรรมนี้กันอีกสักนิด เราขอยกตัวอย่างของวงการเกมเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน การที่บริษัทหนึ่งจะผลิตเกมหนึ่งเกมออกมาได้ แน่นอนว่านอกจะมี Passion และมีไอเดียที่ดีจากทีมสร้างแล้ว บริษัทยังต้องคำนึงถึงคนหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท นักลงทุน กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เมื่อทีมงานในการพัฒนามี Conceptที่เป็นรูปเป็นร่าง พวกเขาก็จะทดลองสร้าง Demo (ตัวอย่างเกมที่สามารถเล่นได้จริง) ของเกมขึ้นมาแล้วประกาศเปิดตัวต่อสาธารณชน ถ้าผลลัพธ์ออกมาน่าประทับใจก็จะได้รับความคาดหวังจากลูกค้าและนักลงทุนหน้าใหม่ที่เห็นศักยภาพของการพัฒนา Project นี้ และเฝ้ารอคอยการวางจำหน่ายจริง แต่ระหว่างทางก็ต้องมีการปรับปรุงอย่าง ผ่านขั้นตอนการทดสอบจาก Game Tester (คนทดสอบเกมเพื่อหาข้อผิดพลาด) และ Feedback จากผู้เล่นทั่วไปที่เข้ามาทดลองเล่น ขัดเกลาจนมาเป็นเกมที่ดีที่สุดก่อนขาย
การเป็นพนักงานของบริษัทเกมจึงถูกคาดหวังให้ต้องรับแรงกดดันแบบนี้ให้ได้ ยิ่งบริษัทใหญ่และเกมก่อนหน้าที่เคยทำมาดังเท่าไหร่ ผู้บริโภคก็ยิ่งคาดหวังมากเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทเกมชื่อดังหลายค่ายมักตกเป็นเป้าของการรายงานข่าวเรื่อง Crunch Culture อยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกมใกล้ออก ตัวอย่างมีให้เห็นทั้ง Rockstar Games ผู้พัฒนาเกม GTA บริษัท Naughty Dog เจ้าของผลงานเกม The Last of US และ CD Projekt Red ที่สร้างชื่อจากเกม The Witcher โดยเฉพาะรายหลังนั้นมีรายงานว่าบริษัทเข้าตาจนต้องออกประกาศขอให้ทีมงานที่ทำเกมล่าสุดอย่าง Cyberpunk 2077 ทำงาน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในช่วงสุดท้ายของ Project เพื่อให้เกมทันวางขายหลังจากเลื่อนมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้บริษัทก็เคยออกโรงสนับสนุนการป้องกันไม่ให้เกิด Crunch Culture ขึ้นภายในองค์กร
อุตสาหกรรม Animation
ขณะเดียวกันวงการผลิตสื่อบันเทิงก็มีการพูดถึงการทำงานหนักจนเกินไปทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่น เราขอหยิบยกตัวอย่างจาก Animation ฝั่งอเมริกาที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2023 อย่าง Spider-man: Across the Spider-Verse ที่นอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกแล้ว ทุกคนต่างยอมรับว่างานภาพนั้นสุดจัดด้วยรายละเอียดยิบย่อยในแต่ละฉาก และมีงานศิลป์โดดเด่นและแตกต่างกันไปตามแต่ละตัวละคร งานระดับนี้ต้องอาศัยทีมงานศิลปินหลายร้อยคน แม้จะได้รับคำวิจารณ์ที่ดีและสร้างรายได้ให้ค่ายหนังของ Sony เป็นกอบเป็นกำขนาดไหน แต่เบื้องหลังผลิตนั้นพนักงานต้องเจอกับเรื่องชวนปวดหัวไม่น้อย
มีข่าวรายงานว่าทีมงานกว่า 100 ขอลาออกหลังจบ Project นี้ แหล่งข่าวที่เคยทำงานเล่าว่าพวกเขาถูกจ้างตั้งแต่ปี 2021 แต่กว่าจะได้ทำงานจริงก็ต้องรอคิวนานถึง 3-6 เดือนเพราะติดปัญหาในบางขั้นตอนของการทำงาน ซึ่งทำให้งานต้องมาเร่งในช่วงท้าย ส่งผลให้ Animators (นักวาดภาพเพื่อทำเป็นภาพเคลื่อนไหว) บางคนต้องทำงานกัน 11 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ กินเวลามากกว่า 1 ปี กว่างานจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมฉายก็ต้องแก้งานกันถึง 5 ครั้ง และงานของศิลปินบางคนก็ถูกตัดทิ้งในเวอร์ชั่นสุดท้าย นอกจากนั้นหนังที่มีความยาว 140 นาทีเรื่องนี้ ทุกฉากต้องผ่านการอนุมัติจากโปรดิวเซอร์โดยตรงทุกครั้ง การรักในความสมบูรณ์แบบอาจเป็นเรื่องที่ดีในการผลิตผลงานครีเอทีฟ แต่การเปลี่ยนแปลงบทแม้เพียงเล็กน้อยกลับส่งผลต่อการทำงานของทีมงานอย่างมหาศาล เพราะทุกครั้งที่มีการปรับบท เนื้อเรื่องเปลี่ยน Storyboard และการทำภาพเคลื่อนไหวก็ต้องเปลี่ยนตามทั้งหมด และสุดท้ายทีมงานในแผนกอื่น ๆ เช่น ทีมปั้นโมเดล ลงสี จัดแสง ใส่ Efffect ประกอบก็ต้องทำงานกันใหม่ตั้งแต่ต้น การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดงานบ่อย ๆ จึงเป็นสาเหตุของ Crunch Culture ในเคสนี้นั่นเอง
ข้ามฟากมาที่ประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเบอร์หนึ่งด้าน Anime ก็เจอปัญหาที่คล้ายกัน ความจริงแล้ว Crunch Culture ในวงการ Anime ถือเป็นเรื่องที่เป็นปัญหากันมายาวนาน แม้จะมีความพยายามแต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ โดยผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มักจะเป็น Animators โดยเฉพาะคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ที่นอกจากจะได้รับค่าตอบแทนน้อยแล้ว ยังถูกมอบหมายงานที่ยากเกินความสามารถเนื่องมาจากการขาดแคลนบุคลากรและการไม่มีแผนการอบรมคนทำงานใหม่ที่ดี Anime ญี่ปุ่นได้รับการยกย่องเรื่องงานภาพที่มีคุณภาพสูงมากมาแต่ไหนแต่ไร กว่าจะได้ภาพเคลื่อนไหวแต่ละฉาก Animator ต้องทำงานกันหนักมากอยู่แล้ว การอยู่ในบริษัทที่มี Crunch Culture จึงเป็นเคราะห์ร้ายที่ซ้ำเติมชีวิตคนทำงานในสายงานนี้ แทนที่พวกเขาจะมีความสุขกับการได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักกลับต้องเจอประสบการณ์การทำงานที่ไม่ดีและการเอาเปรียบจากนายจ้างอีกต่อหนึ่ง
ล่าสุด ก็มีประเด็นเกิดขึ้นกับ Studio Mappa ผู้อยู่เบื้องหลังการผลิต Anime สุตฮิตอย่าง Attack On Titan: The Final Season, Chainsaw Man และ Jujutsu Kaisen หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อมหาเวทย์ผนึกมาร โดยมีรายงานว่าทาง Studio ขาดการวางแผนงานที่ดี ด้วยตารางการออกฉายที่เร่งด่วนเกินไปและการบริหารเวลาที่ไม่เหมาะสมทำให้บริษัทต้องสั่งให้ทีมงานทำงานกันแบบหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ทันฉายตามการรอคอยของแฟน ๆ แต่ผลงานก็ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควรจนถูกวิจารณ์จากผู้ชม ปัญหายังไม่หมดเพียงเท่านี้ นอกจาก Animator จะต้องทำงานล่วงเวลาแล้ว ยังถูกกดค่าแรง (อยู่ในเกณฑ์ค่าแรงขั้นต่ำแต่ไม่สมน้ำสมเนื้อกับผลงานที่ผลิตได้) แถมยังมีสภาพแวดล้อมการทำงานสุด Toxic เรื่องนี้ถูกเปิดเผยโดย Animators หลายคนที่ทนไม่ไหว ถึงกับต้องโพสต์บอกให้ชาวโลกรู้ว่าคนทำงานแบบพวกเขาต้องทนอยู่กับสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ขนาดไหน โชคยังดีที่คนทำงานเหล่านี้รู้จักใช้ Social Media เพื่อลุกขึ้นสู้กับความไม่ยุติธรรมในการทำงาน อย่างไรก็ตาม Animators ในบริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับ Project Anime เรื่องดัง ๆ แบบนี้ ก็คงไม่กล้าคิดจะเรียกร้องสิทธิในการทำงานที่ดีของตัวเอง และอาจตกเป็นเหยื่อของบริษัทที่เอาเปรียบโดยไม่มีสิทธิ์ได้ลืมตาอ้าปากเลย
Crunch Culture คือวัฒนธรรมขององค์กรที่มีวิธีการทำงานที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของพนักงาน ทำให้คนทำงานต้องเจอกับสภาวะกดดันด้วยเงื่อนไขในการทำงานที่เร่งรีบ เนื่องมาจากนโยบายหรือวิธีการบริหารจัดการขององค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ เราคงเห็นแล้วว่าปัญหาCrunch Culture เกิดขึ้นมาได้ยังไง และทำไมจึงกลายเป็นประเด็นในสังคมของคนทำงานทั่วโลก ผู้ที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลยก็คือองค์กรธุรกิจต่าง ๆ แต่ปัจจุบันหลายบริษัทหันมาออกนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของคนทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยืดหยุ่นในการทำงาน เรื่องWork-Life Balance ตลอดจนการปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ เช่น การมีช่องทางพิเศษเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพ หรือบริการจัดการความเครียดให้กับพนักงานทุกคนที่ต้องทุ่มเทกายและใจในช่วงเวลาที่ต้องทำงานอย่างหนัก ปัจจัยสำคัญที่สุดในการหลุดจากวงจรนี้จึงควรเป็นการบริหารกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับศักยภาพของทีมงานและสอดคล้องกับตารางเวลาที่ต้องทำงานให้สำเร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบและต้องมาโหมงานหนักกันในช่วงโค้งสุดท้าย ในขณะเดียวกันคนทำงานก็ไม่ควรก้มหน้ายอมรับชะตากรรม หลับหูหลับตาทำงานและทำให้วัฒนธรรมการโหมงานหนักกลายเป็นเรื่อง “ปกติ”
สุดท้ายนี้เราอยากทิ้งทายให้คนทำงานลองขบคิดเกี่ยวกับประเด็นนี้กันสักหน่อย แน่นอนว่าการทำงานหนักและไม่มีค่าตอบแทนที่เหมาะสมอย่างค่าล่วงเวลาเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากทำ แต่สำหรับองค์กรที่มีแนวโน้มให้เราทำงานหนัก โดยมีค่าตอบแทนให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ บางคนอาจจะมองว่าก็ยุติธรรมดี Win-Win กันทั้งองค์กรทั้งพนักงาน แม้จะยังคงหลีกเลี่ยงผลกระทบเรื่องสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตในช่วงเวลาเร่งงานแบบนั้นไม่ได้ แต่บางคนอาจเห็นต่างว่าการยอมทำงานแบบนี้จะยิ่งส่งเสริมให้บริษัทมีค่านิยมที่เอาเปรียบคนทำงานมากขึ้นหรือเปล่า
ถ้าเป็นตัวคุณเอง จะเลือกทำงานในองค์กรแบบนี้ต่อไปไหม จะลุกขึ้นต่อสู้ หรือจะยอมถอยออกมา หางานใหม่ที่ตอบโจทย์สไตล์การทำงานและให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance มากกว่า?
JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน
ที่มา:
ign.com, polygon.com, makeuseof.com, washingtonpost.com, bloomberg.com, gamingbible.com, yahoo.com, vulture.com, screenrant.com, gizmodo.com, pcgamer.com, kotaku.com