เทคนิคการเขียน Resume แบบเจาะลึก: การฝึกอมรมและใบประกาศนียบัตร (Training Courses and Certificates)

07/03/25   |   505   |  

 

  • ความสำคัญของการฝึกอบรมและใบประกาศนียบัตรใน Resume
  • เลือกการฝึกอบรมและใบประกาศนียบัตรที่สอดคล้องกับตำแหน่งงาน
  • สิ่งที่ควรทำในการนำเสนอการฝึกอบรมและใบประกาศนียบัตร
  • สรุป

 

ผู้สมัครงานที่รู้จักการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะของตัวเองอยู่เสมอย่อมโดดเด่นในสายตาบริษัท ยิ่งถ้าเรามีใบประกาศนียบัตรรับรองการผ่านการฝึกอบรมทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน จะทำให้เรามีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมประกอบการสมัครงานได้ ลองไปดูกันว่ามีเรื่องไหนที่เราต้องใส่ใจบ้างในการเขียนข้อมูลเรื่องการฝึกอมรมและใบประกาศนียบัตรลงใน Resume

 

JobThai Mobile Application สมัครงานง่าย ได้งานเร็ว

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

ความสำคัญของข้อมูลการฝึกอบรมและใบประกาศนียบัตรใน Resume

การนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมว่าเราได้ผ่านการอบรมวิชาความรู้หรือทักษะการทำงานอะไรมาบ้าง ผ่านการการันตีด้วยใบรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือต่าง ๆ จะทำให้ข้อมูลเรื่องประวัติการทำงานและทักษะการทำงานที่เราใส่ไปมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นและอาจทำให้คุณได้เปรียบผู้สมัครงานคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใส่ข้อมูลเหล่านี้

 

ใบรับรองการฝึกอบรมบางประเภทยังสามารถแสดงให้บริษัทเห็นว่าเรามีความเชี่ยวชาญมากเพียงใด เช่น หากเราเป็น Software Engineer ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ Cloud Computing และมีเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีโดยผ่านการสอบจากสถาบันที่น่าเชื่อถือก็ควรใส่ใบรับรองที่สำคัญลงใน Resume เช่น ใบรับรอง Azure Solutions Architect Expert หรือ AWS Certified Developer ทั้งนี้ ในสายอาชีพต่าง ๆ อาจมีใบรับรองหลากหลายประเภททั้งแบบบังคับและแบบไม่บังคับ เช่น ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง เอกสารรับรองคุณวุฒิ ประกาศนียบัตรรับรองการผ่านการฝึกอบรมวิชาชีพหรือหลักสูตรต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกใส่ข้อมูลไหนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของบริษัท

 

ตัวอย่างใบรับรอง

  •  ใบรับรองผ่านการอบรมทักษะด้านไอที
  •  การฝึกอบรมบริการลูกค้า
  •  การรับรองด้านสุขภาพและความปลอดภัย
  •  ผลทดสอบระดับความเชี่ยวชาญทางภาษา
  •  ประกาศนียบัตรการอบรมการบริหารจัดการโครงการ

 

เลือกการฝึกอบรมและใบประกาศนียบัตรที่สอดคล้องกับตำแหน่งงาน

เมื่อถึงเวลาตัดสินใจเลือกว่าจะใส่ข้อมูลใบรับรองประเภทไหนบ้าง ควรพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

 

  •  ประกาศงานระบุว่าจะต้องมีใบรับรองสำหรับการทำงาน หากขาดคุณสมบัติจะไม่สามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้ได้ เช่น ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสำหรับอาชีพครู แพทย์ พยาบาล ทนายความ 

 

  •  ใบรับรองนั้นเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานแต่ไม่ได้บังคับให้มี อย่างใบรับรองความสามารถที่มีระดับสูงกว่าที่บริษัทต้องการ หรือประกาศนียบัตรที่แสดงว่าเรามีทักษะที่น่าสนใจ เช่น ผ่านการฝึกอบรมทักษะการบริหารจัดการ แม้เราจะสมัครตำแหน่งที่ไม่ได้เป็นระดับหัวหน้า แต่ก็ทำให้บริษัทเห็นความสามารถและศักยภาพของเรา นำไปสู่การพิจารณาเรื่องการเติบโตในองค์กรได้

 

  •  กรณีที่เป็นเด็กจบใหม่หรือย้ายสายงาน ใบรับรองที่แสดงให้เห็นว่าเรามีความพยายามในการพัฒนาตัวเองเพิ่มเติมสามารถแสดงให้เห็นว่าเรามีทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับงาน ซึ่งสามารถชดเชยประสบการณ์ที่ขาดไปได้ 

 

ทั้งนี้ หากเรามีการฝึกอบรมจำนวนมาก ให้เราเลือกเฉพาะเรื่องที่ความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เรากำลังสมัครมากที่สุดเท่านั้น นอกจากนี้การเลือกใส่ใบประกาศจากสถาบันฝึกอบรมที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในแวดวงนั้น ๆ ก็จะยิ่งทำให้คนที่อ่าน Resume เห็นคุณสมบัติที่น่าเชื่อถือของผู้สมัครงานได้ทันทีและเพิ่มโอกาสในการเรียกสัมภาษณ์งาน

 

สิ่งที่ควรทำในการนำเสนอการฝึกอบรมและใบประกาศนียบัตร

ข้อมูลสำคัญที่ควรใส่

  • ชื่อใบรับรอง: เริ่มต้นด้วยชื่อเต็มของใบรับรอง ใช้ตัวหนาหรือตัวเอียงหากต้องการให้โดดเด่น
  • ชื่อองค์กร: ระบุชื่อองค์รหรือสถาบันที่ออกใบรับรอง
  • วันที่ออกใบรับรอง: ระบุวันที่คุณได้รับใบรับรอง
  • วันหมดอายุ: หากมี ให้ระบุวันหมดอายุ

 

การเรียงลำดับ หากต้องการให้บริษัทเห็นทักษะที่เป็นปัจจุบันที่สุดให้เรียงลำดับใบรับรองที่ใหม่ที่สุดไว้ด้านบนสุด แต่ถ้าอยากให้เห็นทักษะที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับตำแหน่งมากที่สุดก็สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากนำเสนอมุมไหนมากกว่า

 

ตำแหน่งการวาง เราสามารถเรียงลำดับใบรับรองไว้ข้างล่างประวัติการศึกษา เพราะหัวข้อใบรับรองฝึกอบรมและใบประกาศนียบัตร เป็นส่วนเสริมที่มีความสำคัญน้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของ Resume อย่างไรก็ตาม อาจสามารถจัดวางต่อจากทักษะหรือประสบการณ์การทำงานได้เช่นกัน หากใบรับรองมีความสำคัญมากสำหรับงานที่สมัคร

 

คำแนะนำอื่น ๆ

  •  ควรเลือกเฉพาะใบรับรองที่เกี่ยวกับการฝึกอบรมเรื่องการทำงานหรือความรู้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานของบริษัทที่เรากำลังสมัครโดยตรง ลองจัดลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย 5-10 รายการ แล้วเลือกใช้ตามความเหมาะสม

 

  • ระบุหัวข้อให้ชัดเจน เช่น “การฝึกอบรมและประกาศนียบัตร” สำหรับกรณีที่มีใบรับรองหลากหลายประเภทรวมกัน หรือ “ประกาศนียบัตร” สำหรับกรณีที่ต้องการให้บริษัทเห็นในหมวดหมู่เดียวกัน

 

  • เมื่อเราพอใจกับการเขียน Resume ส่วนอื่น ๆ แล้วจึงค่อยปรับการเขียนในส่วนนี้ตามพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ ถ้ามีพื้นที่เหลือมากพอก็ใส่ได้เต็มที่ อาจใช้การเรียงลำดับด้วย Bullet Points เป็นข้อ ๆ เพื่อความเรียบร้อย แต่ถ้าพื้นที่เหลือน้อยก็ควรเลือกเฉพาะการอบรมที่เกี่ยวข้องที่สุดเท่านั้น

 

  • นอกจากใบรับรองการฝึกอบรมต่าง ๆ แล้ว หากเรามีสิ่งอื่นที่ไม่นับเป็นเรื่องการอบรมแต่สามารถแสดงให้เห็นถึงทักษะบางอย่างก็อาจเพิ่มหัวข้อลงไปใส่ในส่วนท้ายของ Resume ได้เช่นกัน เช่น Project การทำงานต่าง ๆนอกเหนือจากอาชีพที่ทำอยู่แต่อาจเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร หรือการตีพิมพ์ผลงานการเขียน สำหรับ นักวิชาการ หรือ นักเขียนอิสระ 

 

สรุป

การเขียน Resume ในส่วนการฝึกอบรมและประกาศนียบัตรที่สอดคล้องกับประกาศรับสมัครงานจะช่วยเสริมให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเราทั้งหมดมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น HR หรือหัวหน้างานในอนาคตที่ได้เห็น Resume จะเข้าใจได้ในทันทีว่าเรามีคุณสมบัติที่ครบถ้วนหรือไม่ มีการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมหรือมีความพยายามในการพัฒนาตัวเองในการทำงานมากน้อยขนาดไหน รวมถึงอาจทำให้เราดูโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใส่ข้อมูลในหัวข้อนี้มาด้วย

 

เทคนิคการเขียน Resume แบบเจาะลึก ในส่วนอื่น ๆ 

หางานใหม่ที่ใช่ ได้เป็นตัวของคุณเอง ที่ JobThai สมัครสมาชิกและฝากประวัติที่นี่เลย

 

ที่มา:

novoresume.com

indeed.com

careerservices.fas.harvard.edu

coursera.org

tags : jobthai, งาน, หางาน, สมัครงาน, อบรม, ประกาศนียบัตร, ใบประกาศนียบัตร, คนทำงาน, resume, เคล็ดลับการทำงาน, career & tips, จบใหม่ต้องรู้, เด็กจบใหม่, คนหางาน



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม