เนื้อเพลงบันดาลใจคนทำงาน จากปลายปากกา 3 สไตล์ของ Taylor Swift

22/04/24   |   4.9k   |  

 

 

JobThai Mobile Application หางานที่ชอบได้ผ่านมือถือ โหลดเลย!

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

Taylor Swift ศิลปินสาวที่เป็นทั้งนักร้องและนักแต่งเพลงที่ครองใจแฟนคลับมาอย่างยาวนาน โดยมีผลงานเพลงจำนวนมาก รวมเป็นอัลบั้มกว่า 11 อัลบั้ม ซึ่งอัลบั้มล่าสุดของของเธอที่มีชื่อว่า “The Tortured Poets Department” ก็เพิ่งออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกัน

 

Taylor Swift คือศิลปินที่คนฟังเพลงจะรู้ดีว่าเธอมีความสามารถในด้านการเขียนเนื้อเพลงที่ดีมาก โดยเธอเคยได้รับการแต่งตั้งจาก Nashville Songwriters Association International ให้เป็น "Songwriter-Artist of the Decade" หรือ “นักแต่งเพลง-ศิลปินแห่งทศวรรษ” และภายในงานเธอได้พูดถึงสไตล์ภาษาเขียนเพลงของเธอเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เธอจัดประเภทของเนื้อเพลงของตัวเองเอาไว้โดยจินตนาการว่าเธอใช้ปากกาแบบไหนในการเขียนเพลง โดยปากกาในจินตนาการของเธอมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่

 

  1. ปากกาขนนก (Quill Pen) เป็นภาษาเขียนที่มีความเป็นภาษาเก่าแก่ ราวกับเป็นกวียุคศตวรรษที่ 19 ที่กำลังเขียนงานอยู่ใต้แสงเทียน
  2. ปากกาหมึกซึม (Fountain Pen) เนื้อเรื่องหรือสิ่งที่สื่อถึงยุคสมัยใหม่ แต่ก็ยังมีความเป็นบทกวี
  3. ปากกาหมึกเจลกากเพชร (Glitter Gel Pen) เป็นภาษาเขียนที่มีความโดดเด้ง มีชีวิตชีวาราวกับตัวหนังสือที่มีกากเพชร

 

ในฐานะคนฟัง นอกจากเพลงที่มีทำนองติดหูแล้ว ถ้าเราตั้งใจฟังเนื้อเพลงให้ดี เราจะพบว่า Taylor Swift ได้สอดแทรกแนวคิดที่เกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตเอาไว้มากมาย ซึ่งเราอาจพบว่ามีหลายเพลงที่ความหมายตรงกับเราเหมือนมันแต่งมาเพื่อเราโดยเฉพาะ และเราจะพบว่าเราสามารถนำข้อคิดหลาย ๆ ข้อจากเธอไปปรับใช้ได้ทั้งในแง่การใช้ชีวิตทั่วไปและในแง่การทำงาน วันนี้ JobThai เลยได้รวบรวมเพลงความหมายดี ๆ จาก Taylor Swift พร้อมนำมาถอดความหมายให้เข้าใจแบบลึกซึ้งกันยิ่งขึ้น

 

Shake it Off (Taylor’s Version)

เพลง Shake it Off (อัลบั้ม 1989 (Taylor’s Version)) เป็นเพลงที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยิน ทั้งจากที่ฟังเอง จากที่เปิดในห้างฯ หรือร้านอาหารต่าง ๆ ซึ่งเบื้องหลังทำนองเพลงสุดติดหูนี้ เพลงนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวของการตกอยู่ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และคำต่อว่าของคนรอบตัว แต่อย่างน้อย เราก็ได้ยินเสียงดนตรีในใจและนั่นจะทำให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเอง เหมือนเนื้อหาในเพลงช่วงนึง

 

'Cause the players gonna play, play, play, play, play.

And the haters gonna hate, hate, hate, hate, hate.

Baby, I'm just gonna shake, shake, shake, shake, shake.

I shake it off, I shake it off.

 

พวกชอบเล่นเกมก็จะเอาแต่เล่นเกม เล่นเกม เล่นเกม เล่นเกม เล่นเกม อยู่วันยังค่ำ

พวกคนที่เกลียดเรา ก็จะเอาแต่เกลียด เกลียด เกลียด เกลียด เกลียด อยู่วันยังค่ำ

แต่เธอจ๋า ฉันก็เลือกที่จะสลัดทิ้ง สลัดทิ้ง สลัดทิ้ง สลัดทิ้ง สลัดทิ้งไป

สลัดมันทิ้งไป สลัดมันทิ้งไป

 

เราทุกคนต่างต้องเคยได้รับคำวิจารณ์และคำติฉินนินทาต่าง ๆ นานาซึ่งอาจจริงและไม่จริง ถ้ามันจริงและเป็นสิ่งที่ควรปรับปรุงเราก็ควรที่จะฟังไว้ แต่ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และเราได้เป็นตัวของตัวเอง ใครจะว่ายังไงเราก็ช่าง เราก็แค่สลัด ๆ มันออกไป

 

Daylight

เพลง Daylight (อัลบั้ม Lover) คือเพลงรักที่เปรียบเทียบความรักเหมือนกับแสงแดดที่สว่างสดใส แต่สิ่งที่น่าสนใจของเพลงนี้อยู่ที่ตอนจบของเพลง ซึ่งมีเสียงพูดของ Taylor Swift ปิดท้ายเพลง และเป็นประโยคปิดท้ายอัลบั้มที่น่าประทับใจมากว่า

 

I wanna be defined by the things that I love.

Not the things I hate.

Not the things that I'm afraid of, (I'm afraid of.)

Not the things that haunt me in the middle of the night.

I, I just think that

You are what you love.

 

ฉันอยากให้คนนิยามฉันจากสิ่งที่ฉันรัก

ไม่ใช่จากสิ่งที่ฉันเกลียด ไม่ใช่จากสิ่งที่ฉันกลัว

ไม่ใช่จากสิ่งที่หลอกหลอนฉันในยามกลางคืน

ฉันแค่คิดว่า คนเราจะเป็นยังไง ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรารักนั่นแหละ

 

ประโยคสะท้อนแนวคิดดี ๆ ของเธอว่าเราควรทำในสิ่งที่เรารักด้วยความทุ่มเทและความตั้งใจ และเมื่อผลงานออกมาดี มันก็จะกลายเป็นที่จดจำได้ของใครหลาย ๆ คน อย่าง Taylor Swift เอง ก็เป็นศิลปินที่มีความโดดเด่นในด้านการเล่าเรื่องราวผ่านเนื้อเพลง ซึ่งเหล่าสวิฟตี้หรือแฟนคลับของเธอก็จำเธอได้ในบทบาทของศิลปินที่เขียนเนื้อเพลงได้กินใจ เจ็บแสบ บาดลึก และสวยงาม ดังนั้นในฐานะคนทำงาน เมื่อเรารู้ตัวดีว่าเรารักในการทำอะไรสักอย่าง ก็ขอให้ทำมันด้วยความตั้งใจ

 

Change (Taylor’s Version)

เพลง Change (Taylor’s Version) (อัลบั้ม Fearless (Taylor’s Version)) เป็นเพลงที่พูดกับคนที่กำลังรู้สึกว่าสิ่งที่ทุ่มเทและตั้งใจทำไม่เคยออกมาอย่างที่หวังเอาไว้เลย Taylor Swift จึงบอกกับคนฟังทุกคนผ่านเนื้อเพลงว่า ไม่ว่าเราตั้งใจทำอะไรอยู่ เราจะทำได้ และเธอก็จะทำทุกทางเพื่อให้ได้เห็นความสำเร็จของพวกเรา

 

Because these things will change.

I can feel it now.

These walls that they put up to hold us back will fall down.

This revolution, the time will come for us to finally win.

And we'll sing hallelujah.

 

เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเปลี่ยนไป

ตอนนี้ฉันสัมผัสถึงมันได้เลย

กำแพงที่คนเขาเอามาขวางเราจะพังทลายอย่างแน่นอน

การปฏิวัติครั้งนี้ เวลาแห่งชัยชนะของเราจะมาถึงในที่สุด

แล้วเราจะร้องเพลงฮาเลลูยาห์ไปด้วยกัน

 

แต่ละคนมีความฝันที่แตกต่าง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็จะมีวันที่เราท้อแท้เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะไปถึงปลายทางรึเปล่า แต่อย่างน้อยอย่าถอดใจกับความฝัน ขอให้ใช้ความกล้าที่มีต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

 

Long Live (Taylor’s Version)

เพลง Long Live (Taylor’s Version) (อัลบั้ม Speak Now (Taylor’s Version)) เป็นเพลงที่ Taylor Swift ได้พูดกับเหล่าสวิฟตี้ที่มาชมคอนเสิร์ต “Reputation Stadium Tour” ว่า “เพลงนี้ สำหรับฉันแล้ว มันจะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับพวกคุณทุกคนเสมอ” เป็นเพลงที่เหมือนจดหมายรักจากเธอถึงเหล่าแฟนคลับที่คอยอยู่ข้างเธอมาตลอด โดยเนื้อเพลงที่ความหมายกินใจว่า


Long live all the mountains we moved.
I had the time of my life fighting dragons with you.
I was screaming, "Long live that look on your face".
And bring on all the pretenders.
One day we will be remembered.

 

ขอให้ภูเขาที่พวกเราร่วมมือกันยกย้าย คงอยู่ไปแสนนาน

ฉันได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต ต่อสู้กับเหล่ามังกรไปกับเธอ

ฉันตะโกนว่า “ขอให้สีหน้านั้นของเธออยู่ไปแสนนาน”

แล้วก็ส่งพวกคนจอมเสแสร้งเข้ามาได้เลย

พอถึงวันนึง คนเขาจะจดจำพวกเราขึ้นใจ

 

เพลงนี้สามารถนำมามองได้จากหลาย ๆ มุม ด้วยความหมายของเพลงที่เปรียบเสมือนการขอบคุณใครสักคนที่ต่อสู้มาอย่างหนักเคียงข้างเรา ซึ่งเชื่อว่าพวกเราทุกคนต่างมีคนคนนั้นให้ได้นึกถึง โดยอาจเป็นเพื่อนที่สนิท คนรัก หรือคนในครอบครัว ก็อย่าลืมพูดหรือแสดงให้เขารู้ว่าเราเห็นคุณค่าและขอบคุณในกำลังใจจากเขาด้วยนะ

 

New Year’s Day

เพลง New Year’s Day (อัลบั้ม Reputation) เป็นเพลงที่พูดถึงคนสำคัญในชีวิตของเรา คนที่เราอยากจะร่วมแบ่งปันทั้งช่วงเวลาแห่งความทุกข์และความสุข ซึ่งแน่นอนว่าค่ำคืนเคาต์ดาวน์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีมากของช่วงเวลาแห่งความสุข แต่เมื่อเสียงพลุได้หมดไปแล้วเข้าสู่เช้าวันปีใหม่ สถานที่ที่เคยจัดปาร์ตี้ครื้นเครง หลงเหลือแต่ร่องรอยของการเฉลิมฉลอง ทั้งกระดาษสายรุ้งที่เกลื่อนบนพื้น ขวดเครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นภาพที่แค่จินตนาการก็ดูรกตามากแล้ว แต่ถึงตอนนั้นเราก็ยินดีที่จะเก็บกวาดทุก ๆ อย่างไปด้วยกันกับเขา

 

I want your midnights.

But I'll be cleaning up bottles with you on New Year's Day.

 

ฉันอยากอยู่กับเธอตอนเที่ยงคืน

พอเข้าวันปีใหม่ ฉันก็จะอยู่ช่วยเธอเก็บกวาดขวดเครื่องดื่มด้วยเช่นกันนะ

 

หรือแม้แต่ประโยคนี้ ที่เป็นการมอบความแน่ใจให้กับอีกคนว่าเขาจะไม่ต้องโดดเดี่ยวอย่างแน่นอนทั้งในจุดที่สูงที่สุดหรือต่ำที่สุดของชีวิตก็ตาม

 

I'll be there if you're the toast of the town, babe.

Or if you strike out and you're crawling home.

 

ฉันจะอยู่กับเธอในวันที่คนทั้งเมืองต่างชื่นชมเธอนะที่รัก

หรือแม้แต่ในวันที่เธอล้มเหลว จนต้องล้มลุกคลุกคลานกลับมาบ้านก็ตาม

 

เมื่อชีวิตมีใครสักคนเข้ามาและเติบโตไปด้วยกัน แน่นอนว่ามันจะต้องมีวันที่ทุกข์ที่สุด วันสุขที่สุด และวันที่ธรรมดาที่สุด แต่ก็อย่าลืมบอกคน ๆ นั้นด้วยว่าเราพร้อมจะข้างเขาในทุกขณะ ทุกสถานการณ์ที่เขาจะต้องเจอ

 

Bejeweled

เพลง Bejeweled (อัลบั้ม Midnights) เป็นเพลงที่พูดถึงการที่เราอยู่ในจุดที่เราใจดีต่อผู้อื่น แต่ก็ถูกเอาเปรียบและได้รับการปฏิบัติแบบที่เราไม่สมควรจะได้ เพลงนี้ก็ได้บูสต์ความมั่นใจให้กับคนฟังทุกคนด้วยประโยคที่ว่า

 

Puttin' someone first only works when you're in their top five.

And by the way, I'm going out tonight.

 

การให้ความสำคัญกับใครมาก ๆ จะเวิร์กก็ต่อเมื่อเราเองก็เป็น TOP 5 ในใจเขาด้วย

อ้อ แล้วก็จะว่าไปนะ คืนนี้ฉันจะไปเที่ยวซะหน่อย

 

Best believe I'm still bejeweled.

When I walk in the room.

I can still make the whole place shimmer.

 

เชื่อสิว่าฉันยังปังเหมือนประดับไปด้วยเพชรพลอย

และเมื่อฉันเดินเข้าไปในห้อง

ฉันยังทำให้ทั้งห้องสว่างวับวาวได้อยู่

 

เราอาจได้เจอกับสถานการณ์ที่คนมาเอาเปรียบ หรือทำตัวไม่ดีกับเรา เพียงเพราะเห็นว่าเรานั้นใจดีกับเขา ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในวงเพื่อน ความสัมพันธ์กับคนรัก หรือแม้แต่ในที่ทำงาน เพลงนี้จึงเป็นเหมือนเสียงเตือนใจที่บอกว่าจริง ๆ แล้วเราเองก็ยังคงมีคุณค่าส่องแสงวับวาวได้ราวกับมีอัญมณีประดับบนตัว เราไม่ใช่สิ่งที่ด่างพร้อย เรายังคงทำอะไรได้ตามใจอยู่ และยังสามารถไปเฉิดฉายได้ในที่ที่มีคนเพราะความสว่างของแสงที่เราส่องออกมา

The Man

The Man (อัลบั้ม Lover) เป็นเพลงที่มาจากไอเดียที่ว่า Taylor Swift คือศิลปินหญิงที่ถูกวิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ทั้งในเรื่องความสามารถและชีวิตส่วนตัว แต่ในความจริง หลาย ๆ สิ่งที่เธอทำก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากศิลปินเพศชายที่ประสบความสำเร็จเลย ท้ายที่สุดแล้วถ้าพูดกันจริง ๆ เธอก็คือนักร้อง นักแต่งเพลง และนักธุรกิจที่มีไอเดียในหัว เธอมองว่าถ้าเธอเกิดเป็นผู้ชาย เธอคงถูกเรียกว่าเป็นคนที่เจ๋ง เท่ เป็นสุดยอดผู้นำไปแล้ว

 

I'm so sick of running as fast as I can.

Wondering if I'd get there quicker If I was a man.

And I'm so sick of them coming at me again.

'Cause if I was a man

Then I'd be the man.

 

ฉันล่ะเหนื่อยหน่ายเหลือเกินกับการวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

สงสัยจังว่าจะไปถึงที่หมายเร็วกว่านี้ไหมถ้าฉันเกิดเป็นผู้ชาย

และฉันก็เหนื่อยหน่ายเหลือเกินที่ผู้คนมุ่งจะมาโจมตีฉันอีกแล้ว

เพราะถ้าฉันเกิดเป็นผู้ชายนะ

ฉันจะเป็นยอดคนเลยล่ะ

 

เราจะเห็นว่าเธอมีการเล่นคำว่า Man ให้ตีความได้ 2 ความหมาย ความหมายที่ 1 แปลว่า “ผู้ชาย” ที่หมายถึงเพศชาย ส่วนความหมายที่ 2 คำว่า “The Man” จะหมายถึง บุคคลที่มีเพียงหนึ่งเดียว สุดยอดที่สุด เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็จะต้องนึกถึงคนนี้ ซึ่งในความเป็นจริง ผลงานและการกระทำที่มาจากความสามารถควรได้รับการชื่นชมและยกย่องอย่างเท่าเทียมไม่ว่าเราจะเกิดเป็นเพศใดก็ตาม เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินใครที่ตัวตนและรูปลักษณ์ภายนอกของเขา เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนคนนึงมีความสามารถอันน่าทึ่งอะไรซ่อนอยู่ในตัวบ้าง

 

วิธีการรักษาความสำเร็จของนักร้องสาว Taylor Swift

 

Marjorie

เพลง Marjorie (อัลบั้ม Evermore) เป็นเพลงที่ Taylor Swift แต่งขึ้นจากความคิดถึงที่มีต่อคุณยายของเธอที่มีชื่อว่า Marjorie Finlay ที่นอกจากจะเป็นคุณยายของเธอแล้ว ยังเคยเป็นนักร้องโอเปร่าอีกด้วย โดยเพลงนี้มีประโยคสอนใจที่ดีว่า

 

Never be so kind, you forget to be clever.

Never be so clever, you forget to be kind.

 

อย่าได้ใจดีจนเกินไป จนลืมว่าเธอควรจะฉลาดเข้าไว้ด้วย

อย่าได้ฉลาดจนเกินไป จนลืมว่าเธอควรจะใจดีด้วย

 

Never be so polite, you forget your power.

Never wield such power, you forget to be polite.

 

อย่าได้สุภาพจนเกินไป จนลืมว่าเธอก็มีอำนาจเหมือนกัน

อย่าได้ใช้อำนาจมากจนเกินไป จนลืมว่าเธอควรจะสุภาพด้วยเหมือนกัน

 

แน่นอนว่ามันต้องมีบางวันที่เราถูกเอาเปรียบ บางวันที่เราเผลอไปเอาเปรียบใครโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เนื้อเพลงนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าอย่าลืมหันกลับมามองการกระทำของตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย โดยระหว่างที่ฟังคนฟังจะได้ยินเสียง Backing Vocal เป็นเสียงของคุณยาย Marjorie ผู้ล่วงลับ ร้องคลอไปกับเสียงของ Taylor Swift ด้วย

 

It’s time to go

เพลง It’s time to go (อัลบั้ม Evermore) หรือที่แปลตรง ๆ ว่า “ถึงเวลาต้องไปแล้ว” เป็นเพลงที่ยกสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คนเราอาจพบเจอได้ในชีวิตจริง มาบอกเล่าผ่านเนื้อเพลง เช่น

 

Twenty years at your job, then the son of the boss.

Gets the spot that was yours.

 

ทำงานมานานกว่า 20 ปี สุดท้ายลูกชายของหัวหน้า

กลับได้ตำแหน่งที่ควรเป็นของเราไปซะอย่างนั้น

 

รวมถึงเหตุการณ์อื่น ๆ ในชีวิต เช่น คู่สามีภรรยาที่มีปัญหากัน แต่เลือกที่จะยื้อความสัมพันธ์เพราะเห็นแก่ลูก กลับกลายเป็นว่าลูกต้องใจสลายหนักกว่าเดิมเพราะพ่อแม่อยู่แบบไม่รักกัน ซึ่งเนื้อเพลงของเพลงนี้ได้ให้ข้อคิดว่า

 

Sometimes, givin' up is the strong thing.

Sometimes, to run is the brave thing.

Sometimes, walkin' out is the one thing.

That will find you the right thing.

 

บางครั้งการยอมแพ้ นับว่าเป็นการกระทำที่แข็งแกร่ง

บางครั้งการวิ่งหนี นับว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญ

บางครั้งการเดินออกมา จะพาเราไปเจอในสิ่งที่ใช่สำหรับเรา

 

สรุปได้ว่าเมื่อเราได้ทำอะไรสักอย่างอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่สิ่งที่เผชิญอยู่มีแต่จะทำให้เราเจ็บปวด เสียใจ หรือผิดหวัง ไม่แน่ว่ามันก็คือเวลาที่เหมาะสมที่เราควรเดินออกมา เพราะสิ่งที่เคยใช่ในอดีตอาจไม่ใช่สำหรับเราแล้วในวันนี้ การเดินออกมาได้จึงนับว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญ และทางข้างหน้าอาจพาเราไปเจอกับโอกาสที่ใช่มากกว่า

 

Mirrorball

เพลง Mirrorball (อัลบั้ม Folklore) เป็นหนึ่งในเพลงที่เธอเขียนตอนช่วงที่ Covid-19 กำลังระบาด และมีการ Lockdown หลาย ๆ คนเก็บตัวอยู่ในบ้าน ซึ่งเธอก็ได้เล่าผ่าน “Folklore: The Long Pond Studio Session (Disney+ Hotstar)” ว่า

 

“ลูกบอลกระจกหรือดิสโก้บอลนั้นได้อยู่ตรงกลางฟลอร์ก็เพราะว่ามันสะท้อนแสง มันแตกสลายมาเป็นล้านครั้งแล้ว พวกมันถึงได้เปล่งประกายมากขนาดนั้น ในสังคมเราก็มีคนที่เป็นเหมือนกับดิสโก้บอล พวกเขาจะยื้อตัวเองไว้ และทุกครั้งที่พวกเขาแตกสลาย มันจะกลายเป็นความบันเทิงแก่พวกเราทุกคน เมื่อไหร่ที่เราสาดแสงไปหาเขา พวกเขาจะสะท้อนแสงสุดสวยงามออกมา แต่หลายครั้งเวลาที่แสงไฟไม่ได้ส่องไปที่เขา พวกเขาก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่ดี แต่ไม่มีใครมองพวกเขาแล้ว”

 

เธอเขียนเพลงนี้ขึ้นตอนที่รู้ว่าคอนเสิร์ตของเธอถูกแคนเซิลทั้งหมดเพราะโรคระบาด เธอได้ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาผ่านเนื้อเพลงว่า

 

And they called off the circus, burned the disco down.
When they sent home the horses and the rodeo clowns.
I’m still on that tightrope.
I’m still trying everything to get you laughing at me.

 

และแล้วพวกเขาก็สั่งยกเลิกละครสัตว์ เผาดิสโก้ทิ้ง

เมื่อเขาส่งพวกม้ากับตัวตลกกลับบ้าน

ฉันยังคงยืนอยู่บนเชือกตึง

ยังคงพยายามทำทุกทางเพื่อให้เธอหัวเราะฉัน

 

สิ่งที่น่าสนใจคือ เราทุกคนต่างรู้ดีว่าโรคระบาดส่งผลกับชีวิตของพวกเรามากในหลาย ๆ แง่ แต่เพลงนี้ได้พาเราไปดูมุมมองของศิลปินว่าพวกเขาประสบกับความรู้สึกอะไรบ้างในตอนที่กักตัว เราได้รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ถึงจะไม่มีงานกิจกรรมสังสรรค์อะไรจัดขึ้น เธอก็ยังอยากทำทุกทางเพื่อให้เรามีความสุขอยู่ดี

 

เธอเล่าต่อว่า “มันเป็นการเปรียบเทียบถึงการเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ก็เป็นการเปรียบเทียบสำหรับหลายคนที่รู้สึกว่า ตัวเองเหมือนต้องทำตัวแบบนึงกับคนบางกลุ่ม เราต้องเป็นคนอีกอย่างให้กับคนอีกกลุ่มนึง เป็นคนแบบนึงเวลาอยู่ที่ทำงาน อีกแบบนึงเวลาอยู่กับเพื่อน อีกแบบนึงเวลาอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่มนึง อีกแบบนึงเวลาอยู่กับครอบครัว ทุกคนต่างต้องมีหลายบทบาทหรือรู้สึกว่าตัวเองควรต้องมีหลายบทบาท นั่นคือส่วนนึงของการเป็นมนุษย์ ซึ่งมันก็เหนื่อยมากเช่นเดียวกัน”

 

And I’m still a believer, but I don’t know why.
I’ve never been a natural, all I do is try, try, try.
I’m still on that trapeze.
I’m still trying everything to keep you looking at me.

 

ฉันก็ยังเป็นคนมีศรัทธาอยู่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม

ฉันไม่ได้เก่งมาโดยธรรมชาติ ฉันก็แค่พยายาม พยายาม พยายาม มาโดยตลอด

ฉันยังคงนั่งอยู่บนชิงช้าสูงอันนั้น

ยังคงพยายามทำทุกทางเพื่อให้เธอมองมาที่ฉัน

 

เชื่อว่า เราทุกคนต่างต้องเคยอยู่ในจุดที่มีความคิดว่า ที่หลายคนมองว่าเราเก่งจัง ความจริงแล้วเราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์เลย แต่ที่ผ่านมาเราพยายามอย่างหนักมาตลอด ทำทุกทางเพราะอยากให้คนมองมาที่เรา เพลงนี้เป็นเหมือนการพูดแบบเปิดอกจาก Taylor Swift ถึงคนฟัง แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ได้สะท้อนมองมาที่ตัวเองด้วยเช่นกันและพบว่า สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่มนุษย์ต่างต้องประสบพบเจอ

 

I Can Do It With a Broken Heart

เพลง I Can Do It With a Broken Heart (อัลบั้ม The Tortured Poets Department) เพลงใหม่จากอัลบั้มลำดับที่ 11 ของ Taylor Swift ที่มีการพูดถึงการที่ได้มาอยู่ในช่วงเวลาที่เฉิดฉายที่สุดในชีวิตของศิลปิน แต่ในขณะเดียวกัน ในด้านชีวิตส่วนตัว เธอกลับกำลังอยู่ในภาวะใจสลาย ซึ่งเพลงนี้มีความเป็นไปได้ว่าเธอกำลังพูดถึงช่วงเวลาที่เธอแสดงคอนเสิร์ต The Eras Tour คอนเสิร์ตความยาวกว่า 3 ชั่วโมงครึ่งที่รวมเอาเพลงจากทุกยุคสมัยของเธอเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่โหดและท้าทายเธออย่างมากทั้งในแง่พลังกายและพลังใจ

 

Breaking down, I hit the floor.
All the pieces of me shattered as the crowd was chanting, “More!”.
I was grinnin’ like I’m winnin’.
I was hittin’ my marks.
‘Cause I can do it with a broken heart.

 

ใจฉันพังทลาย ตัวฉันจมลงไปกับพื้น

ทุกเศษเสี้ยวของฉันแหลกสลายไปแล้ว ในขณะที่เหล่าคนดูร้องลั่นว่า “เอาอีก!”

ฉันแสยะยิ้มราวกับเป็นผู้ชนะ

ฉันยังทำอะไร ๆ ได้ตามที่ตั้งใจไว้

เพราะฉันทำได้ แม้จะใจสลายอยู่ก็ตาม

 

เพลงนี้สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพในฐานะศิลปินของเธอที่สามารถกัดฟันต่อสู้กับความเสียใจไม่ให้กระทบกับเรื่องงานได้ ผู้ชมของเธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเธอกำลังทุกข์ เธอยังคงมอบความสุขให้กับคนดูในทุก ๆ ค่ำคืนต่อไปได้ และในมุมของคนที่ได้ไปคอนเสิร์ตมา หลายต่อหลายคนทึ่งในความสามารถของเธอ และสนุกไปกับบทเพลงและการแสดงของเธอในแต่ละค่ำคืน ทำให้เราในฐานะคนฟังกลับมาตกตะกอนได้ว่า แน่นอนว่านอกจากชีวิตการทำงาน เราทุกคนย่อมมีมุมอื่น ๆ ในชีวิตอีกมากมาย บางวันเราอาจเจอเรื่องที่น่าผิดหวังหรือน่าเสียใจ แต่เพลงนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราว่า เราคือคนเก่งมากที่ยังทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้แม้จิตใจจะทุกข์แค่ไหน เรียกว่า “ถึงใจจะพัง งานก็ยังต้องปังอยู่ดี”

 

You’re on Your Own, Kid

เพลง You’re on Your Own, Kid (อัลบั้ม Midnights) เป็นเพลงที่เล่าเรื่องเหมือนกับหนัง Coming-of-Age เรื่องนึงที่เราได้เห็นตัวละครเด็กสาวคนนึงเติบโต ทั้งการได้เข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ เจอผู้คนใหม่ ๆ พูดคุยกับคนที่คุ้นเคยน้อยลง ยอมทำสิ่งต่าง ๆ ที่บางครั้งอาจไม่ได้อยากทำเลย ทั้งการพยายามจัดงานเลี้ยงให้สนุก อดอาหารเพื่อให้ตัวเองดูดีเพราะหวังว่าจะมีใครมาชอบตัวเอง จนถึงจุดที่พบว่าตัวเองต้องเผชิญโลกนี้โดยลำพังเสียแล้ว และแล้วเด็กน้อยคนนี้ก็ได้เรียนรู้บทเรียนอันสำคัญของชีวิตว่า

 

Cause there were pages turned with the bridges burned.

Everything you lose is a step you take.

 

เพราะหน้ากระดาษแห่งชีวิตได้พลิกไป และสะพานความสัมพันธ์ได้มอดไหม้

แต่ละสิ่งที่เราสูญเสีย คือแต่ละก้าวที่เราต้องเดินไปในชีวิต

 

และในท้ายที่สุด Taylor Swift โอบกอดคนฟังทุกคนด้วยประโยคที่ว่า

 

You’re on your own, kid. Yeah you can face this.

 

เธอตัวคนเดียวแล้วนะเด็กน้อย แต่ยังไงเธอก็รับมือกับมันได้แน่ ๆ

 

ถึงแม้เพลงนี้จะเล่าเรื่องของเด็กคนนึงที่กำลังเติบโต แต่เชื่อเถอะว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม เราทุกคนต่างเคยอยู่ในโมเมนต์ที่เคว้งคว้างเหมือนกำลังเผชิญทุกสิ่งโดยลำพัง และดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจเราเลยสักคนว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้มันเป็นยังไง แต่อย่างน้อยอย่าลืมว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและการดำรงชีวิต

 

เราจะเห็นว่านอกเหนือจากบทเพลงมากมายของ Taylor Swift ที่ถูกเขียนมาอย่างดีจนติดหูคนฟัง เธอยังคงสอดแทรกมุมมองที่มีต่อโลกและแนวคิดบางอย่างเอาไว้ในเนื้อเพลงได้อย่างคมคายและสละสลวย ซึ่งไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ เป็นเพศไหน ประกอบอาชีพอะไร ก็จะพบว่าตัวเองมีบางส่วนในชีวิตที่เชื่อมต่อกับเนื้อเพลงของเธอได้ไม่มากก็น้อย

 

JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน

 

บทความเดิมได้ถูกเผยแพร่ในวันที่ 9 เมษายน 2024 และได้รับการอัปเดตโดยทีมงาน JobThai

 

ที่มา:

billboard.com

cosmopolitan.com

YouTube: Taylor Swift: NPR Music Tiny Desk Concert

YouTube: #เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Taylor Swift - The Man [Ep.54]

Disney+ Hotstar: Folklore: The Long Pond Studio Session

tags : taylor swift, taylor's version, inspiration, เทย์เลอร์ สวิฟต์, สวิฟตี้, เคล็ดลับคนทำงาน, แนวคิดการทำงาน, การทำงาน, ทัศนคติ, แรงบันดาลใจ, the eras tour



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม