ภาวะสมองล้า (Brain Fog) คืออะไร? ปัญหาสุขภาพที่คนทำงานต้องรู้ทัน

06/08/25   |   1.7k   |  

 

 

 

JobThai Mobile Application สมัครงานง่าย ได้งานเร็ว

iOS

Android

Huawei AppGallery

ในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและภาระงานมากมาย หลายคนอาจเคยรู้สึกว่าสมองไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออก หรือรู้สึกอ่อนล้าเหมือนแบตเตอรี่ใกล้หมด อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าธรรมดา แต่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะสมองล้า หรือ Brain Fog ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่คนทำงานไม่ควรมองข้าม ในบทความนี้ JobThai จะพาคุณไปทำความรู้จักกับภาวะนี้ เพื่อให้คุณเข้าใจและรับมือได้อย่างถูกวิธี

 

ภาวะสมองล้า (Brain Fog) คืออะไร?

ภาวะสมองล้า หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Brain Fog ไม่ใช่โรคทางการแพทย์โดยตรง แต่เป็นภาวะที่เกิดจากการทำงานของสมองที่ถดถอยลงชั่วคราว ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการคิด วิเคราะห์ การจดจำและสมาธิ

แม้จะไม่ร้ายแรง แต่ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน นักเรียน หรือผู้ที่ต้องใช้ความคิดอย่างต่อเนื่อง หากปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่ปรับพฤติกรรมหรือหาสาเหตุไม่ได้ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังทั้งด้านร่างกายและจิตใจได้ เช่น ความเครียดสะสม ภาวะซึมเศร้า หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout)

 

ภาวะสมองล้า เกิดจากอะไร?

ภาวะสมองล้า เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานของคนยุคใหม่ ได้แก่

  • นอนหลับไม่เพียงพอ การอดนอนหรือการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของสมอง ทำให้สมองไม่ได้รับการพักผ่อนและฟื้นฟูอย่างเต็มที่

  • เครียดสะสมและวิตกกังวล ความเครียดจากการทำงานหรือเรื่องส่วนตัวเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมามากเกินไป ส่งผลเสียต่อเซลล์สมอง

  • ขาดสารอาหารที่จำเป็น การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ โดยเฉพาะการขาดวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของสมอง เช่น วิตามินบี 12 โอเมก้า 3

  • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ: สมองของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก การดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้สมองขาดน้ำและทำงานได้ไม่เต็มที่

  • โรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสมอง อาการเจ็บป่วยบางอย่างอาจมีผลกระทบทำให้เกิดอาการสมองล้าได้เหมือนกัน เช่น ภาวะพร่องไทรอยด์ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือโรคซึมเศร้า

  • ผลข้างเคียงจากยา ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการสมองล้าได้

 

สัญญาณเตือนของภาวะสมองล้า

สังเกตตัวเองให้ดี หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะสมองล้าที่กำลังคุกคามสุขภาพของคุณ

  • รู้สึกสมองมึน งง ไม่ชัดเจน คิดอะไรไม่ค่อยออก เหมือนมีหมอกควันอยู่ในสมอง

  • อารมณ์แปรปรวนง่าย หงุดหงิดง่าย ไม่มีเหตุผลหรือรู้สึกเศร้าโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ปวดหัวเรื้อรัง มีอาการปวดหัวตื้อ ๆ หรือปวดไมเกรนบ่อยครั้ง

  • ขี้หลงขี้ลืม จำอะไรไม่ค่อยได้ ลืมง่าย แม้แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน

  • ไม่ค่อยมีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นาน ฟุ้งซ่านง่าย

 

7 วิธีป้องกันภาวะสมองล้า สำหรับชาวออฟฟิศ

การป้องกันและรับมือกับภาวะสมองล้าไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชาวออฟฟิศที่ต้องเผชิญกับความกดดันและการทำงานที่เร่งรีบ สามารถปฏิบัติตามได้ด้วยวิธีเหล่านี้

 

พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน

 

1. ไม่ควรนั่งติดโต๊ะนานเกินไป

การนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ลองหาเวลาลุกขึ้นเดิน ยืดเส้นยืดสาย หรือเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1 - 2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยให้สมองปลอดโปร่ง

 

2. ไม่กินข้าวไป ทำงานไป

การรับประทานอาหารไปพร้อมกับการทำงานอาจดูเหมือนช่วยประหยัดเวลา แต่ในความเป็นจริงกลับทำให้คุณไม่สามารถจดจ่อกับการกินได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้สมองต้องจัดการหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ลองหยุดพักจากงานสักครู่ เพื่อให้เวลากับมื้ออาหารอย่างเต็มที่ พร้อมปล่อยให้สมองได้ผ่อนคลายจากหน้าจอและความเครียดระหว่างวัน

 

3. ไม่ควรอดนอนแล้วมาทำงาน

การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน เป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูสมองและร่างกาย ช่วยให้ร่างกายและสมองได้พักจริง ๆ ก่อนเริ่มวันใหม่อย่างสดชื่น หากคุณนอนน้อยหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลต่อสมาธิ ความจำและอารมณ์ในระหว่างวัน

 

4. พักสายตาจากหน้าจอบ้าง

การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ไม่เพียงแต่ทำให้กลายเป็นโรคสายตาสั้นเทียมเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้สมองทำงานหนักและเกิดความเหนื่อยล้าด้วย ลองพักสายตาทุก 20 นาที โดยมองไปที่วัตถุไกล ๆ เป็นเวลา 20 วินาที หรือลุกไปพักเบรกเพื่อผ่อนคลายสายตาเป็นระยะ

 

5. พูดคุยกับคนรอบข้าง 

หากใช้สมาธิทำงานคนเดียวเป็นเวลานาน อย่าลืมหาเวลาพูดคุยสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างบ้าง เช่น การทักทายหรือชวนคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยลดความเครียดและสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานได้ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและลดความรู้สึกโดดเดี่ยวอีกด้วย

 

6. จัดลำดับความสำคัญของงานให้ชัดเจน

การจัดการงานที่ยุ่งเหยิงโดยไม่มีลำดับความสำคัญ อาจทำให้คุณรู้สึกสับสนและเครียด แนะนำให้ลองจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยเริ่มจากงานที่สำคัญที่สุดก่อน แล้วค่อย ๆ ทำงานอื่นให้เสร็จไปทีละอย่าง วิธีนี้จะช่วยลดความกดดันและทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

7. ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต

สุขภาพจิตที่ดีมีผลโดยตรงต่อการทำงานของสมอง หากคุณรู้สึกเครียด วิตกกังวลหรือมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ควรมองหาวิธีคลายความตึงเครียด เช่น การออกกำลังกาย ฟังเพลง หายใจลึก ๆ หรือพูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ และหากจำเป็น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน เมื่อสุขภาพจิตดี สมองจะปลอดโปร่ง มีพลังและพร้อมสำหรับการทำงานมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมได้อย่างชัดเจน

 

พนักงานออฟฟิศ

 

สรุป

ภาวะสมองล้า เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของคนยุคใหม่ การทำความเข้าใจสาเหตุ สัญญาณเตือน และวิธีป้องกันจะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพสมองให้แข็งแรงและพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราอยู่ห่างไกลจากภาวะนี้และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ  

 

สมัครสมาชิกกับ JobThai เพิ่มโอกาสง่าย ๆ ในการได้งานที่ใช่

ที่มา:

healthline.comchiangmairam.compt.mahidol.ac.thbangkokhospital.comsamitivejhospitals.com

tags : lifestyle, คนทำงาน, เคล็ดลับคนทำงาน, brain fog, สมองล้า, ภาวะสมองล้า, ดูแลสุขภาพ



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม