ในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและภาระงานมากมาย หลายคนอาจเคยรู้สึกว่าสมองไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออก หรือรู้สึกอ่อนล้าเหมือนแบตเตอรี่ใกล้หมด อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าธรรมดา แต่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะสมองล้า หรือ Brain Fog ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่คนทำงานไม่ควรมองข้าม ในบทความนี้ JobThai จะพาคุณไปทำความรู้จักกับภาวะนี้ เพื่อให้คุณเข้าใจและรับมือได้อย่างถูกวิธี
ภาวะสมองล้า หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Brain Fog ไม่ใช่โรคทางการแพทย์โดยตรง แต่เป็นภาวะที่เกิดจากการทำงานของสมองที่ถดถอยลงชั่วคราว ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการคิด วิเคราะห์ การจดจำและสมาธิ
แม้จะไม่ร้ายแรง แต่ภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน นักเรียน หรือผู้ที่ต้องใช้ความคิดอย่างต่อเนื่อง หากปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่ปรับพฤติกรรมหรือหาสาเหตุไม่ได้ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังทั้งด้านร่างกายและจิตใจได้ เช่น ความเครียดสะสม ภาวะซึมเศร้า หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout)
ภาวะสมองล้า เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานของคนยุคใหม่ ได้แก่
-
นอนหลับไม่เพียงพอ การอดนอนหรือการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของสมอง ทำให้สมองไม่ได้รับการพักผ่อนและฟื้นฟูอย่างเต็มที่
-
เครียดสะสมและวิตกกังวล ความเครียดจากการทำงานหรือเรื่องส่วนตัวเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมามากเกินไป ส่งผลเสียต่อเซลล์สมอง
-
ขาดสารอาหารที่จำเป็น การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ โดยเฉพาะการขาดวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของสมอง เช่น วิตามินบี 12 โอเมก้า 3
-
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ: สมองของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก การดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้สมองขาดน้ำและทำงานได้ไม่เต็มที่
-
โรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสมอง อาการเจ็บป่วยบางอย่างอาจมีผลกระทบทำให้เกิดอาการสมองล้าได้เหมือนกัน เช่น ภาวะพร่องไทรอยด์ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือโรคซึมเศร้า
-
ผลข้างเคียงจากยา ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการสมองล้าได้
สังเกตตัวเองให้ดี หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะสมองล้าที่กำลังคุกคามสุขภาพของคุณ
-
รู้สึกสมองมึน งง ไม่ชัดเจน คิดอะไรไม่ค่อยออก เหมือนมีหมอกควันอยู่ในสมอง
-
อารมณ์แปรปรวนง่าย หงุดหงิดง่าย ไม่มีเหตุผลหรือรู้สึกเศร้าโดยไม่ทราบสาเหตุ
-
ปวดหัวเรื้อรัง มีอาการปวดหัวตื้อ ๆ หรือปวดไมเกรนบ่อยครั้ง
-
ขี้หลงขี้ลืม จำอะไรไม่ค่อยได้ ลืมง่าย แม้แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
-
ไม่ค่อยมีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นาน ฟุ้งซ่านง่าย
การป้องกันและรับมือกับภาวะสมองล้าไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชาวออฟฟิศที่ต้องเผชิญกับความกดดันและการทำงานที่เร่งรีบ สามารถปฏิบัติตามได้ด้วยวิธีเหล่านี้

1. ไม่ควรนั่งติดโต๊ะนานเกินไป
การนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ลองหาเวลาลุกขึ้นเดิน ยืดเส้นยืดสาย หรือเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1 - 2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยให้สมองปลอดโปร่ง
2. ไม่กินข้าวไป ทำงานไป
การรับประทานอาหารไปพร้อมกับการทำงานอาจดูเหมือนช่วยประหยัดเวลา แต่ในความเป็นจริงกลับทำให้คุณไม่สามารถจดจ่อกับการกินได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้สมองต้องจัดการหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ลองหยุดพักจากงานสักครู่ เพื่อให้เวลากับมื้ออาหารอย่างเต็มที่ พร้อมปล่อยให้สมองได้ผ่อนคลายจากหน้าจอและความเครียดระหว่างวัน
3. ไม่ควรอดนอนแล้วมาทำงาน
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน เป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูสมองและร่างกาย ช่วยให้ร่างกายและสมองได้พักจริง ๆ ก่อนเริ่มวันใหม่อย่างสดชื่น หากคุณนอนน้อยหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลต่อสมาธิ ความจำและอารมณ์ในระหว่างวัน
4. พักสายตาจากหน้าจอบ้าง
การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ไม่เพียงแต่ทำให้กลายเป็นโรคสายตาสั้นเทียมเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้สมองทำงานหนักและเกิดความเหนื่อยล้าด้วย ลองพักสายตาทุก 20 นาที โดยมองไปที่วัตถุไกล ๆ เป็นเวลา 20 วินาที หรือลุกไปพักเบรกเพื่อผ่อนคลายสายตาเป็นระยะ
5. พูดคุยกับคนรอบข้าง
หากใช้สมาธิทำงานคนเดียวเป็นเวลานาน อย่าลืมหาเวลาพูดคุยสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างบ้าง เช่น การทักทายหรือชวนคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยลดความเครียดและสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานได้ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและลดความรู้สึกโดดเดี่ยวอีกด้วย
6. จัดลำดับความสำคัญของงานให้ชัดเจน
การจัดการงานที่ยุ่งเหยิงโดยไม่มีลำดับความสำคัญ อาจทำให้คุณรู้สึกสับสนและเครียด แนะนำให้ลองจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยเริ่มจากงานที่สำคัญที่สุดก่อน แล้วค่อย ๆ ทำงานอื่นให้เสร็จไปทีละอย่าง วิธีนี้จะช่วยลดความกดดันและทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต
สุขภาพจิตที่ดีมีผลโดยตรงต่อการทำงานของสมอง หากคุณรู้สึกเครียด วิตกกังวลหรือมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ควรมองหาวิธีคลายความตึงเครียด เช่น การออกกำลังกาย ฟังเพลง หายใจลึก ๆ หรือพูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ และหากจำเป็น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน เมื่อสุขภาพจิตดี สมองจะปลอดโปร่ง มีพลังและพร้อมสำหรับการทำงานมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมได้อย่างชัดเจน

ภาวะสมองล้า เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของคนยุคใหม่ การทำความเข้าใจสาเหตุ สัญญาณเตือน และวิธีป้องกันจะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพสมองให้แข็งแรงและพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราอยู่ห่างไกลจากภาวะนี้และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ
ที่มา:
healthline.com, chiangmairam.com, pt.mahidol.ac.th, bangkokhospital.com, samitivejhospitals.com