5 วิธี สร้าง Work-Life Balance อย่างมีประสิทธิภาพ

5 วิธี สร้าง Work-Life Balance อย่างมีประสิทธิภาพ
29/10/21   |   89.9k   |  

 

  • Work-Life Balance คือการบาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกัน

  • การทำงานและการใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องเท่ากันเสมอไป หาจุดที่ “พอดี” สำหรับตัวเองให้เจอ

  • แยกเรื่องงานและเรื่องที่บ้านให้ชัดเจน ทำงานเมื่ออยู่ในเวลางานและให้เวลากับตัวเองให้เต็มที่เมื่อหมดเวลางาน

  • ปฏิเสธเมื่อสิ่งที่คนอื่นขอเกินความสามารถของเรา และขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในเรื่องที่เราทำไม่ได้จริง ๆ

  • บางงานอาจไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบที่สุด แค่เราพยายามทำให้มันเต็มที่ที่สุดก็พอแล้ว

  • ให้เวลากับตัวเองในการทำสิ่งที่ชอบ โดยไม่ต้องให้เวลาหรือ To-do List ต่าง ๆ มาเป็นข้อจำกัด

 

JobThai Mobile Application หางานง่าย ได้งานที่ใช่ โหลดเลย!

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

“Work-Life Balance” หลายปีที่ผ่านมา คนทำงานคงได้ยินคำว่า Work-Life Balance กันมาแล้วทั้งนั้น Work-Life Balance คือการบาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำงานควรทำ ยังไงก็ตามถึงแม้ทุกคนจะมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ก็สามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่าสมดุลให้ชีวิตได้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนให้ความสำคัญกับงานเป็นหลัก บางคนแบ่งเวลามาเพื่อดูแลครอบครัว ในขณะที่บางคนก็ใช้เวลาเพื่อไล่ตามความฝัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนเราสามารถให้ความสำคัญกับทุกอย่างได้ เพียงแต่ต้องรู้จักบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลกันทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต

 

แล้วต้องทำยังไงถึงจะมีชีวิตแบบนั้นได้ JobThai ก็มีเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คนทำงานสามารถจัดการชีวิตตัวเองให้มี Work-Life Balance ในแบบของตัวเองได้มาฝาก

 

กุญแจ 8 ข้อ ปลดล็อกความสุขในการ Work from Home

 

1. หาจุดพอดีให้ได้

การมี Work-Life Balance ที่ดีไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน และไม่จำเป็นที่ทั้งสองด้านจะต้องเท่ากันเสมอไป เพราะมันต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของเราด้วย ถ้าเราต้องการสมดุลการทำงานแบบ 60% อีก 40% ที่เหลือสำหรับกิจกรรมส่วนตัวก็ไม่ใช่เรื่องผิด ทุกคนสามารถหาจุดที่พอดีของตัวเองได้ และความพอดีในวันนี้อาจจะไม่เท่ากับความพอดีของอนาคต เพราะการที่เราเติบโตขึ้นตำแหน่งงานและหน้าที่รับผิดชอบก็อาจมากขึ้นตาม ซึ่งเวลาที่เหลือจากการทำงานก็ขึ้นอยู่กับการจัดลำดับความสำคัญในเรื่องต่าง ๆ ของตัวเราเอง

เราต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ เราอาจถามตัวเองว่าแนวทาง Work-Life Balance ที่กำลังทำนั้นโอเคหรือเปล่า มีความสุขที่จะทำมันไหม ห้ามบอกกับตัวเองว่า “คนนั้นทำแบบนั้นได้ ฉันก็ต้องทำได้” เพราะบาลานซ์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน และที่สำคัญอย่าให้คนอื่นมาบอกว่าเราควรจะทำหรือไม่ควรทำอะไร

 

2. ขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนระหว่างงานและเรื่องที่บ้าน

สิ่งที่คนทำงานหลายคนมักจะเผชิญคือ การที่เรากังวลกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับที่บ้านในขณะทำงาน หรือหมกมุ่นกับเรื่องงานขณะที่กำลังใช้เวลากับครอบครัว ซึ่งเราควรต้องแยกสิ่งที่ต้องทำที่ทำงานกับที่บ้านออกจากกันอย่างเด็ดขาด ตั้งใจกับการทำงานเมื่ออยู่ในเวลางาน และให้เวลากับตัวเองและครอบครัวอย่างเต็มที่เมื่อหมดเวลางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คนทำงานหลายคนเริ่มมาทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาจทำให้เส้นแบ่งระหว่างการทำงานกับการทำสิ่งต่าง ๆ ในบ้านเลือนลางลง

 

สำหรับคนที่ต้องทำงานแบบ Work from Home การจัดสถานที่และโต๊ะทำงานให้อยู่ในมุมที่เหมาะสมจะทำให้สมองของเราค่อย ๆ แยกแยะได้ว่า ถ้าอยู่บนโต๊ะตัวนี้จะเป็นการเปิดโหมดทำงาน ซึ่งจะทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น ส่วนเคล็ดลับการทำงานที่บ้านก็คือ เราอาจตั้งโต๊ะทำงานของเราในมุมโปรด มุมข้างหน้าต่าง หรือมุมระเบียง เมื่อล้าจากงานจะได้มองออกไปข้างนอกเพื่อพักสายตาได้

 

4 เทคนิคพนักงานออฟฟิศพิชิต Work from Home

 

3. ขอความช่วยเหลือให้เป็นและพูดปฏิเสธให้ได้

เป็นเรื่องปกติของชีวิตการทำงานที่เราอาจได้รับคำไหว้วานจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้เราช่วยเขาเคลียร์งานบางอย่าง ซึ่งการขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องที่ผิด และก็ไม่ผิดเช่นกันหากเราปฏิเสธ แต่การบอกปฏิเสธในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธคำขอร้องทุกอย่างที่เข้ามาตลอดเวลา แต่เป็นการปฏิเสธสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ หรือถ้าทำแล้วจะกระทบกับเรื่องอื่น ๆ เช่น การปฏิเสธเรื่องงานที่นอกเหนือความรับผิดชอบมากเกินไป หรือปฏิเสธเมื่อมีคนมาชวนไปงานปาร์ตี้ แต่ยังไงก็ตามเราก็ไม่ควรที่จะใช้การพูดที่แสดงถึงความก้าวร้าว หรือใช้คำพูดที่ไม่ดีในการปฏิเสธเช่นกัน 

 

รวมถึงการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้จริง ๆ ก็จะช่วยให้เราลดความกดดันจากงานได้ บางครั้งเราอาจต้องเลิกที่จะเก็บเอางานและปัญหาทุกอย่างไว้กับตัวเอง การเปิดเผยมันออกไปโดยการพูดคุยกับใครสักคน เช่น หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานอาจทำให้สามารถแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกมานานได้ง่ายขึ้น

 

4. พยายามไม่คิดเรื่องงานตลอดเวลา

เวลาที่เราจะต้องทำงานอะไรบางชิ้นให้เสร็จ หากเราทำมันอย่างเต็มที่และส่งต่อไปให้คนอื่นเรียบร้อยแล้ว การวนกลับไปดูหรือคิดถึงงานนั้นซ้ำ ๆ อาจทำให้สมองของเราทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา จนอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับหรือบางคนก็ถึงขั้นเก็บเอาเรื่องงานไปฝัน เพราะสมองดันเอาเรื่องงานกลับมาคิดและตั้งคำถามว่า วันนี้งานที่เราทำถูกไหม พรุ่งนี้มีโปรเจกต์อะไรต้องทำรึเปล่า จนกลายเป็นว่านำเรื่องงานมาปนกับเวลาในชีวิตประจำวันตั้งแต่หลับยันตื่น ซึ่งจริง ๆ แล้วบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกอย่างให้ออกมาเพอร์เฟ็กต์ เพียงแค่ทำมันอย่างเต็มที่มากที่สุดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

 

เลิกงานแล้ว แต่ทำไมสมองยังคิดถึงแต่เรื่องงาน

 

5. ทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุข

หลาย ๆ ครั้งเรามักจะได้ยินว่าคนทำงานต้อง Productive อยู่ตลอดเวลาหรือต้องเรียนรู้อย่างไม่มีสิ้นสุด จนทำให้คนทำงานหลายคนรู้สึกผิดเมื่อต้องใช้เวลาไปกับการทำอะไรบางอย่างที่ตัวเองชอบ แต่ความจริงแล้วทุกสิ่งที่เราทำไม่มีอะไรที่สูญเปล่าเลย เพราะผลลัพธ์เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ มันก็จะส่งผลให้เราได้เติมพลังเพื่อนำมาใช้กับการทำงานต่อได้ทั้งนั้น ลองให้เวลากับตัวเองโดยการทำอะไรบางอย่างที่เราชอบและสนุกหรือมีความสุขไปกับมัน โดยไม่ต้องให้เวลาหรือ To-do List ต่าง ๆ มาจำกัดขอบเขต เช่น การออกไปทานอาหารค่ำ อ่านหนังสือ ดูทีวี หรือนอนกลิ้งอยู่บนโซฟา รวมไปถึงการปิดการติดต่อที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ ด้วย

สมัครสมาชิกกับ JobThai เพิ่มโอกาสในการได้งานที่ใช่ แม้ไม่ได้ส่งใบสมัคร

 

 
JobThai Official Group
Public group · 200,000 members
Join Group
 

tags : work-life balance, การทำงาน, งาน, career & tips, คนทำงาน, เคล็ดลับสำหรับคนทำงาน, เทคนิคสำหรับคนทำงาน, ความสุขในการทำงาน, เคล็ดลับความสำเร็จ, แนวคิดในการทำงาน, work life balance คือ, jobthai, work-life balance คือ



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email

ขอบคุณสำหรับการติดตาม