เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่หลาย ๆ คนจะชอบบอกให้พวกเรารับราชการ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นอาชีพที่ “มั่นคง” แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่แล้ว พวกเขากลับไม่คิดแบบนั้น หลายคนมองว่าการทำงานราชการอาจจะมั่นคงก็จริง แต่ถ้าเทียบกับเงินเดือนพนักงานของบริษัทเอกชนแล้วถือว่าได้น้อยกว่ามาก เรียกง่าย ๆ คือทำงานยังไงก็ไม่มีวันรวย ดังนั้นวันนี้ JobThai เลยจะพามาดูว่างานราชการมั่นคงแต่ไม่รวยจริงไหม? รวมถึงบอกถึงข้อดีบางอย่างของงานราชการที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
สวัสดิการบริษัทเอกชนส่วนใหญ่จะครอบคลุมเฉพาะแค่คนทำงาน แต่สำหรับสวัสดิการในระบบราชการจะครอบคลุมทั้งตัวคุณและครอบครัวด้วย ทั้งพ่อแม่ คู่สมรส และลูกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งค่าเล่าเรียนของบุตร รัฐก็ช่วยส่วนหนึ่ง อีกทั้งบางหน่วยงานหรือบางตำแหน่งก็มีบ้านพักของข้าราชการให้ด้วย เรียกได้ว่าสวัสดิการของข้าราชการทำให้เราประหยัดเงินลงไปได้อีกเพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในหลาย ๆ เรื่อง
กรณีเดินทางไปราชการต่างจังหวัด ก็สามารถเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ครอบคลุม เช่น เงินเบี้ยเลี้ยงค่าเดินทางไปต่างจังหวัด ค่าที่พัก หรือเงินค่าเบี้ยประชุมต่าง ๆ ก็มีให้ รวมถึงยังมีทุนศึกษาต่อ และศึกษาดูงานต่างประเทศค่อนข้างเยอะ หลากหลายประเทศให้เลือกสมัครมากมาย
นอกเหนือจากสวัสดิการที่ครอบคลุมแล้ว คนที่ทำอาชีพรับราชการยังมีโอกาสได้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ จากธนาคาร สำหรับการกู้ยืมเงินอีกด้วย โดยข้าราชการสามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเงินกู้ทั่วไป และสามารถผ่อนชำระได้เป็นเวลานาน รวมถึงการขอสินเชื่อรถบางแห่งอาจจะมีโปรโมชันสำหรับข้าราชการ ซึ่งเหตุผลที่คนรับราชการมีเครดิตที่ดีนั้นเป็นเพราะธนาคารมองว่าอาชีพรับราชการมีรายรับที่มั่นคง และมีความน่าเชื่อถือจากหน่วยงานที่รับรอง หรือยืนยันตัวตนได้ จึงทำให้การทำธุรกรรมขอสินเชื่อ หรือแม้แต่การทำบัตรเครดิตมักเป็นไปได้ง่าย และมีโปรโมชันอยู่เสมอ
เงินบำเหน็จหรือบำนาญคือเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้คนอยากทำงานราชการ ถ้าคุณเข้ารับราชการมาเป็นเวลามากกว่า 25 ปี คุณจะสามารถรับบำนาญทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต ซึ่งวิธีการคิดเงินบำนาญก็คือ (เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย x จำนวนปีที่รับราชการ) / 50 เช่น เงินเดือนเฉลี่ยคุณ 50,000 บาท รับราชการมา 30 ปี เท่ากับว่าคุณจะได้บำนาญเป็นเงิน (50,000 x 30) / 50 = 30,000 บาทต่อเดือน หรือสามารถเลือกว่าจะรับบำเหน็จก็ได้ โดยบำเหน็จก็คือการได้เงินเป็นก้อนเดียวแต่มีจำนวนมาก ซึ่งวิธีการคิดเงินบำเหน็จก็คือ (เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย x จำนวนปีที่รับราชการ) เช่น เงินเดือนเฉลี่ยคุณ 50,000 บาท รับราชการมา 30 ปี เท่ากับว่าคุณจะได้บำเหน็จเป็นเงิน (50,000x30) = 1,500,000 บาท
การทำงานราชการดีตรงที่ง่ายต่อการย้ายสถานที่ทำงานไปต่างจังหวัด เช่น เราเป็นคนต่างจังหวัด แต่มาทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งห่างไกลจากครอบครัว การทำงานราชการเราสามารถขอย้ายหน่วยงานไปยังจังหวัดที่เราต้องการได้ ซึ่งเหมาะกับคนที่ก็อยากดูแลครอบครัวให้ใกล้ชิดขึ้น หรืออยากกลับไปพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง ซึ่งถ้าหากเป็นการทำงานในบริษัทเอกชนที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาขาตามต่างจังหวัดมากมาย ก็อาจจะทำให้เราต้องออกจากงานเพื่อหางานใหม่ในกรณีที่ต้องย้ายจังหวัดจริง ๆ
โดยรวมงานของราชการอาจจะไม่เสี่ยงต่อการเสียสุขภาพกายและใจเท่างานเอกชน เพราะงานเอกชนได้เงินเดือนสูงก็ต้องรับผิดชอบงานหลายอย่าง รวมถึงถ้าไม่เเอคทีฟตลอดเวลาอาจจะถูกมองว่าไม่ตั้งใจทำงานได้ ต่างจากราชการที่งานไม่ได้หนักมาก ไม่ต้องทำงานนอกเวลา หรือต้องคอยสแตนบายรอทำงานตลอด และการขึ้นเงินเดือนค่อนข้างมั่นคง แค่ทำให้ผลการประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ดังนั้นงานราชการเลยกดดันน้อยกว่า และไม่เสี่ยงต่อการเสียสุขภาพมากนัก
ในขณะที่คนทำงานบริษัทเอกชนเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างเพราะโควิด-19 หรือบางบริษัทเกิดมีปากเสียงกับหัวหน้าทีก็มีสิทธิ์ถูกกดดันให้ออกได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับงานราชการไม่ค่อยมีแบบนั้น การไล่ออกจะเกิดขึ้นน้อย นอกจากคุณจะทำผิดกฎร้ายแรงมาก และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการทำงานให้กับรัฐ โอกาสน้อยมากที่รัฐจะล้มแล้วคุณจะถูกเลิกจ้าง
โดยรวมแล้วราชการจะดูมั่นคงกว่าบริษัทเอกชนในแง่ของการถูกเลิกจ้าง แต่อย่างไรก็ตามไม่มีใครการันตีได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่าในอนาคตการทำงานราชการจะยังมั่นคงได้อยู่ไหม เพราะสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ก็อาจทำให้อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ประเภทของพนักงานราชการแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ พนักงานราชการทั่วไป ประกอบด้วย 5 กลุ่ม คือ กลุ่มงานบริการ กลุ่มงานเทคนิค กลุ่มงานบริหารทั่วไป กลุ่มงานวิชาชีพเฉพาะ และกลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะ อีกประเภทคือพนักงานราชการพิเศษ ซึ่งจะมีเงินเดือนสูงกว่าพนักงานราชการทั่วไป เนื่องจากต้องใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญสูงมากเป็นพิเศษ ต้องทำงานที่สำคัญและมีความจำเป็นเฉพาะเรื่องของส่วนราชการ เช่น ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านมนุษย์ปัจจัย ที่มีการกำหนดอัตราเงินเดือนไว้ที่ 40,000 บาทขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่เงินเดือนดีมาก
การทำงานราชการมีโอกาสได้เงินส่วนอื่น ๆ เพิ่มอีกตามตำแหน่งหน้าที่และสังกัด เช่น สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ บางตำแหน่งได้ติดตามทูตจึงได้เบี้ยเลี้ยงตอนอยู่ต่างประเทศ รวมถึงแต่ละตำแหน่งก็มีอัตราเงินได้พิเศษ เช่น ตำแหน่งตั้งแต่ผู้บริหารระดับต้นขึ้นไปก็จะได้รับเงินประจำตำแหน่ง บางตำแหน่งมีเงินรางวัลจากการจับผู้กระทำความผิด หรือบางตำแหน่งมีค่าสอนนอกเวลาเป็นรายชั่วโมง
นอกจากนั้นข้าราชการก็จะได้รับเงินเดือนในอัตราสูงขึ้นในแต่ละปี มีการปรับเงินเดือนเหมือนบริษัทเอกชนเช่นกัน โดยการปรับเงินเดือนขึ้นของราชการ ต้องทำงานมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 เดือนจึงจะมีการปรับเงินเดือนให้ โดยจะมีการปรับเงินเดือนปีละ 2 ครั้ง ในแต่ละครั้งจะปรับขึ้นได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 6 ของฐานในการคำนวณและไม่เกินเงินเดือนสูงสุดตามที่ ก.พ. กำหนด และข้าราชการจะได้เลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งต้องมีผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 60
ทุกคนรู้ดีว่าทำงานบริษัทเอกชนมีโอกาสได้เงินเดือนเยอะกว่าราชการอยู่แล้ว ถ้าเทียบในระดับวุฒิการศึกษาที่เท่ากันอย่างปริญญาตรี พนักงานบริษัทเอกชนเงินเดือนเริ่มต้นประมาณ 15,000 บาท แต่เงินเดือนราชการจะสตาร์ทไม่ถึง10,000 บาท หรือ ปริญญาโทก็เริ่มต้นประมาณ 15,000 บาท แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือถ้าคุณเป็นพนักงานราชการทั่วไปที่มีเงินเดือนไม่สูงมาก หน้าที่ความรับผิดชอบก็จะน้อยตามจำนวนเงิน เลิกงานเร็ว คุณอาจจะไม่ต้องเหนื่อยทำโอทีหรือทำงานวันหยุดเหมือนคนทำงานเอกชนที่ต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้างแพง ๆ ที่พวกเขาได้ มันจึงทำให้คุณมีสิ่งที่เรียกว่าเวลา ซึ่งอาจมากพอจะทำให้คุณสามารถหางานเสริมทำ หรือทำธุรกิจควบคู่ไปด้วยตั้งแต่อายุไม่มาก รวมถึงถ้ารู้จักลงทุนให้เป็นด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่ามีเงินใช้ไม่ขาดมือได้เหมือนกัน
สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือการตั้งเป้าหมายเรื่องการเงินในแต่ละปี บางคนมองว่าตั้งไปก็เท่านั้นยังไงก็ไม่มีวันทำได้ แต่คำถามคือเราทำไม่ได้จริง ๆ หรือเราไม่ได้ตั้งใจทำ? ข้อดีของการตั้งเป้าหมายเรื่องเงินเอาไว้จะทำให้เรารู้สึกมีแรงกระตุ้น และมีความภูมิใจในตัวเองถ้าเราทำสำเร็จ โดยอาจจะตั้งเพียงแค่เป้าหมายเดียว แต่เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณ ยกตัวอย่างเช่น ในปีหน้าคุณตั้งไว้ว่าจะเก็บเงินให้ได้จำนวนเท่านี้เพื่อให้แม่เป็นของขวัญ ซึ่งเมื่อตั้งเป้าหมายแล้วก็ต้องพยายามและตั้งใจทำให้ได้ด้วย ไม่ว่าเป็นเก็บออมเงิน ไม่ใช้จ่ายของไม่จำเป็น และพยายามลงทุนต่อยอดเงินที่ได้มา ลองยึดเป้าหมายนี้แล้วพยายามทำให้เต็มที่ ถ้าเรามีความรับผิดชอบต่อเป้าหมายนี้แล้ว เราต้องมีเงินเก็บไปให้แม่เป็นของขวัญแน่นอน
ไม่ว่าคุณจะทำงานราชการหรือเอกชน ปัญหาที่คล้ายกันคือหลายคนเมื่อได้เงินเดือนมากขึ้น ก็จะใช้มากขึ้นตาม
ดังนั้นสุดท้ายแล้วถ้าคุณไม่วางแผนการใช้เงิน ไม่ต่อยอดหรือลงทุน ยังไงก็อาจจะเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินได้ สำหรับเรื่องความมั่นคงในหน้าที่การงานก็ไม่มีงานไหนที่จะการันตีได้ว่ามั่นคงร้อยเปอร์เซ็น สิ่งที่จะทำให้ตัวเรามั่นคงที่สุดคือความรู้ ความสามารถ และเงินเก็บที่เรามีสะสมอยู่ ซึ่งจะมากหรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละคน
ฝากประวัติเพื่อหางานที่ใช่ได้ ที่นี่
|
|
|
|
JobThai Official Group |
Public group · 200,000 members |
|
|
|
ที่มา :
youtube
pantip.com
moneybuffalo.in.th
intrend.trueid.net
kaijeaw.com